เทศน์บนศาลา

เสื่อมแล้วเจริญ

๒๙ ก.ค. ๒๕๕o

 

เสื่อมแล้วเจริญ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม สมมุตินะ โลกนี้เป็นสมมุติ ดูสิวันอาสาฬหฯวันสำคัญทางศาสนา สิ่งใดก็สมมุติ เป็นความสมมุติขึ้นมา สมมุติบัญญัติขึ้นมา ให้เราตื่นตัวนะ โลกนี้เป็นอนิจจัง

ดูสิ ถ้าเรามีความเข้มแข็งนะ วิกฤติมันผ่านไปแล้ว เห็นไหม ชุลมุนวุ่นวายขนาดไหน ถ้าเรามีสัจจะ เรามีสติของเรา เราปกครองชีวิตของเราไปนะ มรสุมชีวิตมันผ่านไป ผ่านไป

เวลาเราประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความเข้มแข็งนะ เราเดินจงกรม เรานั่งสมาธิภาวนาแล้วมีความเข้มแข็ง ขณะที่นั่งสมาธิภาวนาไป กิเลสมันก็เหมือนกับสวะอยู่ในน้ำ น้ำลดลงมันก็ต่ำลง น้ำมากขึ้นมันก็ยกสูงขึ้น นี่ก็เหมือนกันยิ่งภาวนายิ่งวิกฤติขนาดไหน กิเลสมันก็อยู่เหนือตลอดไป

มันถึงต้องดันไปให้ถึงที่สุดไง ถ้าเราดันถึงที่สุด มันจะเป็นความเข้มแข็ง ความเข้มแข็งของใจ เห็นไหม ในการประพฤติปฏิบัติต้องอาศัยความเข้มแข็ง

ความอ่อนแอ ถ้าความอ่อนแอกับความอ่อนน้อมต่างกันนะ คนอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ถ้าหัวใจเข้มแข็งเอาตัวรอดได้

ความจำเป็นของเรา ความจำเป็นของชีวิตนะ ความจำเป็นของโลก ดูสิอากาศหายใจมันก็มีความจำเป็นนะ ถ้าเราไม่หายใจเข้าไปสิ่งนี้ชีวิตเราก็ดำรงอยู่ไม่ได้

แต่ถ้าหัวใจนี้ล่ะ หัวใจไม่หาคุณธรรมให้เขาไม่หาคุณธรรมนะ ดูความเรียกร้องของเด็กนะ เด็กมันต้องการความดำรงชีวิตของเขา ต้องการความช่วยเหลือของเขา เขาเรียกร้องเอาจากพ่อจากแม่ เรียกร้องเอาจากผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่จะช่วยเหลือเจือจานเขาได้ เห็นไหม เขายังเรียกร้องความช่วยเหลือเลย

แล้วหัวใจของเรา มันก็เรียกร้องความช่วยเหลือ แต่เรียกร้องอย่างไรล่ะ เรียกร้องอยากมีความสุขไง เรียกร้องอยากพ้นไปจากกิเลสนะ กิเลสในหัวใจมันบีบบี้สีไฟในหัวใจของเรา สิ่งนี้หัวใจเรียกร้องให้เราช่วยเหลือ

ถ้าเราซื่อสัตย์ เราซื่อสัตย์กับเราเอง เห็นไหม ซื่อสัตย์โดยซื่อตรง ถ้าเราซื่อตรงกับธรรมวินัย ซื่อตรงกับหัวใจของเรา เราจะได้ประโยชน์ของเรามหาศาลเลยประโยชน์ของเรามหาศาลนะ

ดูสิ ดูอย่างถ้าเราเป็นปกติ ปอดของเราปกติ ทุกอย่างปกติ เราหายใจเต็มปอดเลย ถ้าหายใจได้เต็มปอดเห็นไหม แต่เราเป็นหวัดคัดจมูก เราเป็นต่างๆ มันหายใจมันขัดข้องไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ทำคุณงามความดีของเรา ถ้าเราตั้งใจ เต็มใจทำด้วยความเปิดหัวใจให้หมดไง เจตสิก เจตนา เวลาออกมาเป็นเจตนา เวลาเข้าเป็นเจตสิก เวลาเข้าเห็นไหมเวลามีความรู้สึกกระทบเข้ามาเป็นเจตสิกเข้าถึงใจ ใจรับรู้ แบกหามไว้หนักมากเลย

แล้วเจตนาออก เวลาออกมาเป็นเจตนาเห็นไหม เราตั้งใจทำอะไร เวลาเข้ามันเข้าด้วยความเรียกร้องของใจ เพราะใจมันบกพร่อง พอใจมันบกพร่องมันเหมือนบ่อถมไม่เต็ม ถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ความสุข ความทุกข์ ถมเข้าไปเถอะ ไม่เคยเต็มเลยเห็นไหม นี่เจตสิกเวลาเข้า

แล้วเวลาออก มันถมไม่เต็มอยู่แล้วเห็นไหม แล้วเวลาออกมา มันออกมาด้วยกิเลสเจือปนออกมา ออกมาด้วยความพอใจ ออกมานะรับรู้สิ่งต่าง ต้องการปรารถนาสิ่งต่างๆ นี่ใจของเรานี้มันบกพร่อง.. มันพร่องอยู่เป็นนิจเห็นไหม

มันเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เหมือนศาสนาเลย เวลาศาสนานะ วันนี้วันอาสาฬหบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาขวนขวายขึ้นมานี่ สิ่งนี้เจริญสูงสุดไง

เวลายุคที่เจริญที่สุด เจริญที่สุด คือ ยุคที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงชีวิตอยู่ ๔๕ ปี ที่เผยแผ่ศาสนานี้ เวลาเผยแผ่ศาสนาไป เห็นไหม สร้างบุญญาธิการมาขนาดนี้นะ

เวลาอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา เป็นธรรมเสนาบดีเห็นไหม พระสารีบุตรมีปัญญามาก เวลาโต้ตอบกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยสัจธรรม สัจธรรม คือ ความจริง ความจริงเรื่องของสัจจะ เรื่องของอริยสัจ นี่โต้ตอบนะ

เวลาเราสนทนากับใคร ถ้าคนสนทนากันรู้เรื่องมีความเข้าใจ มันสนทนาจะมีรสชาตินะ ถ้าเราพูดอะไรออกไป แล้วคนรับไม่ได้ คนไม่เข้าใจเลยเห็นไหม

พระโมคคัลลานะ เป็นผู้ที่มีฤทธิ์ มีฤทธิ์ไปได้ทุกสรรพสิ่ง ดูสิอัครสาวกต่างๆ ความเจริญของศาสนาไง ความเจริญของศาสนานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรม เอตทัคคะ ๘๐ องค์ พระอานนท์ได้รับการพยากรณ์เป็นเอตทัคคะหลายๆ ทางเห็นไหม ท่านเป็นพหูสูตนะ เป็นผู้ที่อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ใครทำคุณประโยชน์ ใครทำคุณงามความดี สิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วคุณงามความดีในหัวใจนะ อ่อนน้อมถ่อมตน ยอมรับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาได้พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความสุขมหาศาลเลย

เวลาศาสนาเจริญ เจริญในหัวใจอย่างนี้ ความเจริญสูงสุด ขีดสุด เพราะอะไร เพราะสหชาติ.. สิ่งที่สหชาตินะ เกิดร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณธรรมในหัวใจพระอรหันต์เต็มไปหมดเลย แล้วเสื่อมไปเห็นไหม

เวลาเสื่อมไปยุบยอบไปนะ แตกกระสานซ่านเซ็นไปเป็น ๑๘ ลัทธิ แตกออกไปเป็นนิกายต่างๆ ถึง ๑๘ นิกาย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วเห็นไหม

ในการก่อสร้างนะ เรามองไปในเรื่องของศาสนวัตถุ เป็นความมหัศจรรย์นะ ว่าศาสนาเจริญ สิ่งที่เจริญเพราะความเคารพนบนอบ แล้วเป็นวัฒนธรรมตามพื้นถิ่น ในถ้ำในคูหา แกะสลักเป็นวิจิตรพิสดาร ดูสิ ดูโบราณสถานต่างๆ เห็นไหม ใหญ่โตมโหฬารเลย เกิดมาจากอะไร เกิดมาจากความศรัทธาความเชื่อ เกิดมาจากผู้ที่อุปถัมภ์อุปัฏฐากในศาสนานะ

ถ้ามองอย่างนั้นว่าเป็นศาสนาเจริญ เจริญอย่างนั้น เราไปมองได้แต่ตรงนั้นไง แล้วมันเสื่อมนะ..เสื่อมไปเรื่อยๆ เสื่อมไปที่ไหน.. เสื่อมไปขนาดที่ว่าเวลาเข้าถึงคุณธรรมเห็นไหมเราไปคิดกันเองไง เราไปวิตกวิจารณ์กันเอง เห็นไหม เพราะถ้าสมัยพุทธกาลนะสมัยโบราณนะ

ธรรมะต้องออกมาจากพระโอษฐ์.. เพราะสิ่งที่ได้ฟังมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาจารึกมาเป็นคัมภีร์เป็นต่างๆ สิ่งนี้เราไปวิจัยสิ่งนั้นนะ มันออกข้างนอกแล้วล่ะ

แต่ถ้ามันเข้ามาในหัวใจนะ เรื่องของหัวใจเรา เรื่องของความรู้สึกของเรา สิ่งนั้นมันเป็นวิธีการที่เราจะค้นคว้านะ แล้วบอกว่าถ้าเราไปยึดติดอดีต สิ่งนี้มันเป็นอดีตนะ ๒,๕๐๐ กว่าปี มาแล้วนะ ถ้าเราไปยึดติดอดีต

เราจะทำให้การขับเคลื่อนของเราไป มันจะไม่คล่องตัวไง ความคล่องตัวก็เป็นความคล่องตัวของกิเลส เพราะว่าในปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครจะเกินองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปได้ แล้วถ้าวางสิ่งนี้ไว้ มันก็เหมือนกับข้อวัตรปฏิบัติเครื่องดำเนิน เครื่องดำเนินที่จะเข้าไปถึงหัวใจของเรา เข้าไปที่หัวใจ ทวนกระแสนะ

ทวนกระแสเหมือนผู้ที่มีกำลังมาก มีปัญญามาก แล้วเปิดหนทางให้เราไว้ แต่เราบอกว่าสิ่งนี้ทำให้เรายึดติดอดีต แล้วความไม่คล่องตัวของเรา ความคล่องตัว เพราะจะรื้อสัตว์ขนสัตว์

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ คนที่รื้อสัตว์ขนสัตว์จะเปิดช่องทางไว้มากมายขนาดไหน จะเปิดช่องทางให้กว้างขนาดไหน เห็นไหม แต่เราไปไม่ถึงเอง เราไม่ยอมเข้าไปในช่องทางนั้นเอง แล้วเราบอกว่าสิ่งนั้นจะทำให้เราไม่คล่องตัว ความคล่องตัวก็เป็นความคล่องตัวของกิเลส นี่มันเสื่อมไปโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย แล้วเราไม่รู้ตัวเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง”๕,๐๐๐ ปีจะไม่มีใครเชื่อศาสนา แล้วเวลาพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้ ก็ตรัสรู้อริยสัจอันนี้ สิ่งนี้เมื่อตรัสรู้ขึ้นมา แต่ขณะที่เราเอาความเห็นของเรา เอาความเห็นของโลกไง

วัฒนธรรมต่างๆ มันอยู่ที่พื้นถิ่น พื้นถิ่นที่วัฒนธรรมนั้นเกิดขึ้นมา แล้ววัฒนธรรมนั้นเอามากรองศาสนา เป็นไปไม่ได้หรอก สิ่งที่เราจะสัมผัสในศาสนา มันเป็นความรู้สึกถ้าเป็นความรู้สึกขึ้นมานี่ เห็นไหม

เวลาหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา รื้อค้นขึ้นมาสิ่งนี้มันเป็นยุคที่เจริญอีกหนหนึ่ง

ถ้าเจริญแล้วเสื่อมนะ เหมือนกับสิ่งที่มันมีแต่ความทุกข์ ความยาก แล้วความเจริญๆ เพราะใคร เพราะผู้มีบุญไง บุญญาธิการเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้ววางธรรมไว้ ขณะที่เทศน์ธรรมจักรนี้นะ เทวดาส่งข่าวขึ้นไป เป็นขั้น เป็นตอนขึ้นไปเลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว “จะสอนใครได้..” สิ่งที่ต่างๆ ทอดธุระเห็นไหม พอทอดธุระนี่พวกเทวดาอินทร์พรหม สิ่งนี้รอกันอยู่เห็นไหมโลกนี้ฉิบหายแล้ว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่เทศนาว่าการไง ให้พรหมมานิมนต์ “พรหฺมา จ โลกา...” นิมนต์ให้เทศนาว่าการ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเล็งญาณไง จะเทศนาสอนใครก่อน มองไปถึงคุณ คุณของอาฬารดาบส เพราะเคยไปอยู่กับเขา เขาสอนได้แค่ฌานสมาบัติเห็นไหม

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติ รู้เลยว่าฌานสมาบัติมันอยู่ในขอบเขตแค่ไหนของความสงบ เห็นไหม ความสงบนี้มีพลังงาน เพราะมันเป็นฌานสมาบัติ มันเหาะเหินเดินฟ้าได้ มันรู้วาระจิตต่างๆ ได้แต่มันไม่เข้าอริยมรรคเห็นไหม

แต่เข้าอริยมรรคขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่ มันต่างกันราวฟ้ากับดินนะ แล้วคิดถึงว่าคิดถึงคุณของเขา แม้แต่เคยไปอยู่กับเขาจะไปสอนเทศนาว่าการอาฬารดาบสก่อน เห็นไหม

แต่กำหนดนะพุทธกิจ ๕ เล็งญาณนะ ตายเสียแล้ว ตายเมื่อวาน น่าเสียดายมากเห็นไหมถึงย้อนกับมาเห็น อ้อ ! ถ้าอย่างนั้นไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ก่อน นี่เล็งญาณจะไปสอนอาฬารดาบสก่อนนะ แต่ได้ตายไปเสียแล้ว แล้วปัญจวัคคีย์ยังมีชีวิตอยู่ เห็นไหม

ในสมัยพุทธกาล ๒,๕๐๐ กว่าปี มานี่นะชั่วอึดใจเดียว เวลาสองพันกว่าปีนี่ชั่วอึดใจเดียว สิ่งที่ชั่วอึดใจเดียวเพราะอะไร เพราะสิ่งที่มันขึ้นมาจากอดีตแค่ชั่วอึดใจเดียว เพราะอะไร เพราะกาลเวลา คือ กาลเวลาเท่านั้นล่ะ

สิ่งที่เป็นปกติในหัวใจ ถ้าใจมันปกติมันปกตินะ แล้วถ้าย้อนกลับมาเทศนาว่าการปัญจวัคคีย์ สิ่งนี้ยังมีชีวิตอยู่คนที่ตายไปแล้วสอนไม่ได้ เพราะมันเป็นนะ เวลาตายปั๊บ ! จิตนี่มันเกิดตลอด ถ้าเข้าฌานสมาบัติอย่างนั้น ก็ไปเกิดเป็นพรหม

ถ้าเกิดเป็นพรหมก็ไปเสวยสุขอย่างนั้น เขาก็ไม่สนใจ เพราะมันเปลี่ยนไง ถ้าไปสอนอาฬารดาบส.. ตายไปแล้วก็ไปสอนบนพรหมสิ ตายไป.. ก็ไปสอนที่นั่น

จากอาฬารดาบสเป็นภพชาติหนึ่ง เคยสัมผัสกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาด้วยกัน เคยเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์กันมา มันจะรู้กันเหมือนคนรู้จักกัน แต่เปลี่ยนสถานะหนึ่งไปเป็นคนใหม่ จิตดวงเดิมแต่ไปเป็นพรหมคนใหม่ เห็นไหม

แล้วจะไปสอน ถ้าเขามีจริตนิสัยเขาก็จะมาฟัง ถ้าเขามีจริตนิสัย คือว่า เขาติดในฤทธิ์ เขาติดทิฐิมานะของเขา ทิฐิมานะ เราเคยเป็นอะไร เราเป็นพรหมเป็นผู้ที่ประเสริฐ.. นี่หลงตัวเองไง ถ้าหลงตัวเองไปว่าตัวเองเก่งกล้า มันก็ไม่มีโอกาสเห็นไหม

แต่ถ้าผู้มีคุณธรรม มันจะอ่อนน้อมถ่อมตน มันจะคิดถึง เพราะว่าเราเข้าไปเป็นพรหม มันก็เท่านั้นล่ะ แต่ถ้ามันเป็นอริยสัจ มันเป็นสมบัติที่เป็นคุณธรรม มันเป็นอริยทรัพย์ มันไม่เป็นอย่างนั้น นี่อยู่ที่เขาไปเกิด

แต่พระปัญจวัคคีย์ยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่เคยอุปัฏฐากกันมา แล้วเวลาที่ว่าเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกมาฉันอาหารไง ว่าเป็นผู้ที่ไม่เคร่งครัด ไม่ลงใจ ถึงทิ้งไปเห็นไหม

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา จะสอนใครก่อน.. นี่เห็นไหมเล็งญาณสอน ไปสอนพระปัญจวัคคีย์ คนที่มีชีวิตอยู่ คนที่ยังมีโอกาสอยู่ ยังสัมผัสกันได้อยู่ ยังเข้าใจอยู่ คือศรัทธายังเปี่ยมพร้อมไง คือหัวใจยังมีความรับรู้อย่างนี้ เราไม่ได้คิด เราคิดกันนะว่าถ้าเราตายไปแล้ว

ในปัจจุบันนี้เราเป็นผู้ศรัทธาในศาสนา เราเป็นนักปฏิบัติ เราเป็นพระบวชมาแล้วปฏิบัติไปถึง ถ้าเป็นเทวดาอินทร์พรหมไปแล้วจะปฏิบัติต่อ ทุกคนคิดอย่างนี้นะ คิดว่าเราจะปฏิบัติต่อ ปฏิบัติต่อ ทำไมในปัจจุบันนี้ไม่เอาให้ถึงที่สุด ในปัจจุบันนี้นะ มันได้ผลในปัจจุบันไง ถ้าในปัจจุบัน เห็นไหม นี่ความคิดอย่างนี้ มันจะเสื่อมแล้วเจริญ

ถ้าเจริญแล้วเสื่อมนะ เจริญแล้วเสื่อมมันมีแต่ยุบยอบไป ถ้าเสื่อมแล้วเจริญสิ ถึงจะเป็นประโยชน์เห็นไหม เสื่อมแล้วเจริญ

ศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ วางศาสนาไว้ ขนาดยุคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจริญที่สุด แล้วก็เสื่อมถอยมา และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย

“กึ่งพุทธกาล ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง”

คำว่าเจริญเห็นไหม ความเจริญอีกหนหนึ่ง วัตถุนะ สิ่งที่เป็นศาสนวัตถุ มันจะเสื่อมค่าไปตลอด โลกนี้เป็นอนิจจัง ความคิดนี้ สรรพสิ่งนี้ โลกนี้เป็นอนิจจัง มันไม่มีอะไรคงที่ จะขนาดไหนก็แล้วแต่

พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้องค์ต่อไปนะ โลกนี้จะไม่มีเครื่องหมายของศาสนา สิ่งที่เป็นเครื่องหมายของศาสนา โลกนี้จะปรับตัวถึงที่สุดแล้วพระศรีอริยเมตไตรยถึงจะมาตรัสรู้ตอนนั้นไง

แล้วเราสร้างไว้ขนาดไหน ก็สร้างไปเถิด... ถ้าสร้างมันเป็นเรื่องของอามิสไง เราสร้างบุญกุศล แก้วแหวนเงินทองต่างๆ ประดับสิ เวลาสร้างเจดีย์กันน่ะประดับด้วยทองคำนะ ประดับสิ่งต่างๆ มันก็เป็นบุญอันหนึ่ง เป็นบุญของผู้ที่เข้ามาในศาสนา เป็นบุญของการค้ำชูไง

แล้วเราสร้างอะไรเป็นถาวรวัตถุเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นบุญกุศลนะ เราก็ดีอกดีใจ เห็นไหม นี่บุญ.. สิ่งที่เราสร้างไป.. ใจมันสร้างแล้วใจเป็นบุญ สิ่งนี้ดีอกดีใจ มันก็ไปเกิดสิ่งต่างๆ ที่ได้บุญกุศลนั้น แต่สิ่งที่สร้างนั้นมันก็ประจำอยู่นั่นล่ะ

แต่ถ้าศาสนาเจริญในหัวใจนะ นี่หัวใจมันเข้าใจนะ สิ่งที่เป็นทุกข์ที่สุดคือ การเกิดและการตาย การเกิดและการตายนี้จริงๆ นะ เพราะอะไร เพราะว่าเราได้สถานะนี้มา ก็โดยบุญกุศล เห็นไหม

อริยทรัพย์ คำว่า อริยทรัพย์ มนุษย์สมบัตินี่เป็นอริยทรัพย์ เพราะมีมนุษย์สมบัติ มันมีกายกับใจ ถ้ามีกายกับใจร่างกายนั้นมันบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา แต่เราใช้ประโยชน์กับมันเห็นไหม

ดูสิในวงการแพทย์เขาปลูกถ่ายอวัยวะต่างๆ เพื่อมาเปลี่ยนถ่าย นี่ก็เป็นประโยชน์ของร่างกาย คิดกันอย่างนั้นไง สิ่งที่เป็นชีวิต เป็นเซลล์ต่าง มันปลูกถ่ายมันแบ่งตัวได้ มันทำขึ้นมาเป็นการปลูกถ่าย เป็นตัวอ่อนต่างๆ ขึ้นมาเพื่อจะรักษาโรคเห็นไหม

การรักษาโรค มันเป็นเรื่องของโลกๆ แต่มันต้องทำนะ ทำเป็นเรื่องของโลก นี่มันสมมุติทั้งนั้นน่ะ โลกสมมุติกันอย่างนั้น ต่อเติมกันอย่างนั้น เพื่อจะแก้ไขกันอย่างนั้นแก้ไขทุกข์ไง ก็ได้ทุกข์โอดโอยกัน เจ็บไข้ได้ป่วยก็หายป่วย แต่สุดท้ายก็ตายหมด ! สุดท้ายก็ต้องเป็นไปนะ

แต่ถ้ามันเป็นการปลูกถ่ายจากภายในเห็นไหม เช่น มันเสื่อมแล้วเจริญ ถ้าเรามีความมั่นคงของเรา เราจะทำของเรานะ เช่น เรากำหนดพุทโธ เราทำความสงบของใจ เรามีความตั้งมั่นของเรา นี่มันมีความมั่นคงของมัน ถ้าใจมันมีความมั่นคงเห็นไหม

ซื่อตรงกับธรรม เราประพฤติปฏิบัติตามหน้าที่ของเรา ประพฤติปฏิบัติ ผลมันตอบสนองมาเอง ผลมันตอบสนองจากใจที่ซื่อตรงกับตัวเอง ผลจะไม่ตอบสนองกับใจที่ไม่ซื่อตรงกับตัวเอง เพราะอะไรเพราะเราบิดเบือน เราต้องการเป็นอย่างนั้นไง ให้สภาวะเป็นอย่างนั้น บังคับไง บังคับขู่เข็ญให้เป็นสภาวธรรม ให้เป็นตามความพอใจของเรา มันเป็นไปไม่ได้ !

สภาวธรรม คือ ความเป็นจริง มันต้องเกิดขึ้นตามความเป็นจริง มันจะเป็นไปเพราะเหตุผลของเราสมควร เหตุผลของเราเป็นสัมมาทิฐิ เป็นความเห็นชอบ.. ความเห็นชอบในอะไร เห็นชอบในเหตุ “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” แต่เราบอกว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นสภาวธรรม” ธรรมต้องบังคับว่าธรรมต้องเป็นอย่างนั้น แล้วเหตุมันอยู่ที่ไหนล่ะ

“ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” เราต้องย้อนกลับไปหาที่เหตุ ถ้าเหตุมันสมควรแก่ธรรมนะเราปลูกต้นไม้รดน้ำพรวนดิน เรารักษาของเราไป มันยังตายเลยเห็นไหม มันเกิดแมลง มันเกิดโรคกับมัน มันก็ยังตายเลย เรารักษาขนาดไหน มันก็ตาย ถ้ามันจะตาย เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัติของเรา มันล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน ก็ปล่อยมันล้มลุกคลุกคลานไป เพราะว่ากรรมของคนไม่เหมือนกัน

ในการประพฤติปฏิบัติ ดูสิ ดูอย่างความพอใจของเราสิ วันนี้เราพอใจอารมณ์อย่างนี้ วันนี้เราพอใจวัตถุสิ่งนี้ พออยู่กับเราชินชา เราก็เบื่อเห็นไหม ชิ้นวัตถุชิ้นเดียวกันนี่แหละ แต่บางความรู้สึกพอใจ บางความรู้สึกไม่พอใจ สิ่งนี้ไม่พอใจเห็นไหม มันไม่คงที่ของมัน เรามีหน้าที่ปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติของเราไป นี่เราปฏิบัติของเรา ให้มันเป็นปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าสมควรแก่ธรรมเห็นไหม จากเสื่อมแล้วเจริญนะ

ถ้าคนเสื่อมแล้วเจริญ ดูสิ มันมีความมุมานะมันมีความเป็นไปนะ นี่ในเรื่องของวงศ์ในศาสนานะ ในวัฏฏะ มันก็เสื่อมแล้วเจริญ เจริญแล้วเสื่อม เห็นไหม

สภาวะของโลกจะเป็นอย่างนี้ เพียงแต่เราเกิดในยุคใด เราเกิดในสังคมใด เราเกิดในผู้นำดีขนาดไหน เราจะมีโอกาส ถ้าเราเกิดมาร่วมชีวิตนะ

ดูสิ อย่างครูบาอาจารย์ ทุกคนเกิดมาอยากเห็นหลวงปู่มั่น ทุกคนเกิดมาอยากเกิดพร้อมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทำไมมาเกิดตอนนี้ล่ะ ?

ถ้ามาเกิดตอนนี้ ในยุคสมัยที่การประพฤติปฏิบัติยังเจริญรุ่งเรืองอยู่ เจริญรุ่งเรืองนะเพราะปฏิบัติแล้วไม่มีใครเยาะเย้ย ไม่มีใครถากถางนะ ถ้าต่อไปเราไปทำดูสิ เรามองว่าเรามีความเข้าใจอย่างนี้ แล้วเรามองในความเชื่อของลัทธิศาสนาอื่นที่เขาทำไป เราสลดสังเวชไหม

เราเกิดในประเทศอันสมควรนะ เกิดในประเทศอันสมควร.. การประพฤติปฏิบัตินี้เปิดกว้างเห็นไหม ดูสิเวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด ถ้ามีกษัตริย์ปกครองประเทศ ประเทศนั้นร่มเย็นเป็นสุข ถ้าประเทศร่มเย็นเป็นสุข สมณะ ชี พราหมณ์ คำว่า สมณะ ชี พราหมณ์ก็มีความร่มเย็นเป็นสุขไปด้วย

ย้อนกลับมา สมณะ ชี พราหมณ์ เป็นผู้ที่จรรโลงศาสนา ผู้ที่พยายามให้สังคมนั้นมีศีลธรรม มีคุณธรรม ศีลธรรมคุณธรรมก็ทำให้สังคมนั้นร่มเย็นเป็นสุข พอร่มเย็นเป็นสุข สมณะ ชี พราหมณ์ก็มีความร่มเย็นเป็นสุข

มันก็วนกลับมาเห็นไหม วนกลับมามันเกิดในยุคสมัยอย่างนี้ มันเปิดโอกาสให้เราได้ประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราไปเกิดในยุคที่เขาไม่ปฏิบัติกันนะ แล้วไม่ปฏิบัติ ดูสิด้วยความคิดของโลกๆ “มาเสียเวลากันทำไม ไม่เห็นคุณค่าของวัตถุ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาเป็นประโยชน์กับเรา” แต่เขาไม่รู้เลยนะว่าจิตใจเข้มแข็ง จิตใจอ่อนแอเป็นอย่างไร จิตใจเชาว์ปัญญาเป็นอย่างไร

ดูสิ เวลาพระอรหันต์เป็นพระอรหันต์เกิดขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ปฏิภาณพระอรหันต์แต่ละประเภท แต่ละประเภท เตวิชโช วิชชา ๓ เห็นไหม แล้วสิ่งที่เป็น สุกขวิปัสสโก มันยังต่างกัน ความต่างกันของพระอรหันต์ก็ยังต่างกัน

แล้วหัวใจที่ปฏิบัติขึ้นมามันต่างกันอย่างไร ถ้ามันต่างกันมันเป็นคุณสมบัติของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นอยู่จากภายในเห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติเวลาก้าวเดินนะ เราจะฝึกวิชาชีพอะไรก็แล้วแต่ เวลาเราไปฝึกฝนนะ มันจะมีความคล่องตัว

ในการประพฤติปฏิบัติ มันจะมีความขาดตกบกพร่อง ความขาดตกบกพร่องอันนั้น มันจะทำให้เราต้องสอบถามต้องมีวิธีแก้ไข สิ่งนี้แหละที่ทำให้มีการสนทนาธรรม ถ้าการสนทนาธรรมออกมาอย่างนั้น มันเป็นประโยชน์นะ แต่เวลากิเลสมันขึ้นมาสิ มันทำให้เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นคุณธรรม นี่จะบังคับ จะเทศนาว่าการ จะบอกให้คนอื่นเชื่อตามตัวเองไปหมดนะ ทั้งๆ ที่ความเห็นผิดนะ

ถ้าความเห็นถูก ความอิ่มใจของใจ ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะมีสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะจะบอกเลยว่าสิ่งใดควรไม่ควร คำว่าควรไม่ควรนะ แล้วถึงที่สุดแล้ว ต้อง ! ต้องเป็นอย่างนั้น

นั่นอีกขั้นตอนหนึ่ง สิ่งที่ควรก่อน สิ่งที่ควรมีการแก้ไข มีการปรับปรุง เพราะมันควรแก้ไข มันควรปรับปรุง ให้เราเข้ามาถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ทำนองคลองธรรมเห็นไหม แล้วทำนองคลองธรรมคำว่า “ธรรม.. ธรรม..” มันเป็นนามธรรม สิ่งนี้เป็นนามธรรม

แต่นามธรรม เวลาจิตสงบเข้ามา เห็นไหม ทำไมบอกว่าจิตนี้ตั้งมั่น จิตนี้เป็นเอกัคคตารมณ์ จิตนี้ตั้งมั่น มันตั้งมั่นอย่างไร ?

แค่สมาธิ เวลาพูดถึงสมาธิ ถ้าคนเป็นสมาธิจะพูดถึงสมาธิถูกต้อง ถ้าคนไม่เป็นสมาธินะ พูดถึงเรื่องของสมาธิไม่ถูกต้องหรอก ถ้าพูดเรื่องของสมาธิไม่ถูกต้อง มันก็เป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นอารมณ์ทั้งนั้นน่ะ

อารมณ์ว่างๆ อารมณ์ความรู้สึกมันเป็นอารมณ์ไม่ใช่เป็นสมาธิหรอก ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมา คนที่เป็นสมาธิก็พูดถึงขั้นของสมาธิถูกต้อง ผู้ที่มีปัญญา โสดาปัตติมรรค ก็พูดถึงโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามรรค สกิทาคาผล อนาคามรรค อนาคาผล ด้วยความถูกต้อง.. ถูกต้อง.. ด้วยความถูกต้องนะ

แต่ขณะที่ก้าวเดินไปอยู่นี้ ดูสิ เวลาเราเผลอไปเห็นไหม เวลาเราขับรถเราเผลอ เรายังใส่เกียร์ผิดเลย เราใส่เกียร์ผิด ใส่เกียร์ถูก มันใส่แล้วเกียร์ไม่เข้าเห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน

ในการประพฤติปฏิบัติไป มันเข้าใจว่าเป็นๆๆ ไง ใช่อยู่... เราขับรถอยู่ เราเข้าเกียร์ได้นี้ ก็เหมือนกัน เป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคา มันเข้าใจว่าสิ้นแล้ว.. สิ้นแล้ว.. มันติดไง

สิ่งที่เราปฏิบัติไป มันมีติดนะ เวลามันเข้าใจ เพราะมันให้ค่าตัวเองมากเกินไป สิ่งที่กิเลสมันให้ค่าตนเองสูงมากเกินไป สูงส่งเกินไป แล้วเราไปนอนจม ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ชี้ตรงนี้นะ เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์เห็นไหม

ดูสิ ฟังสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่าน ธัมมสากัจฉา เอตัมมังคละมุตตะมัง ท่านคุยสนทนาธรรมกัน เห็นไหม “เอ้า! ว่ามา ว่ามา.. เอ้าว่าไปสิ ว่าไปสิ..” ว่าไปสินี้มันมีสองฝ่ายแล้ว ฝ่ายหนึ่งครูบาอาจารย์ที่รู้จริง มันยังมีเกียร์ ๑ เกียร์ ๒ เกียร์ ๓ มันต้องใส่เกียร์ ๔, ๕, ๖ ไปนะ แต่ไอ้คนผู้ที่บอกว่าใส่นี่เกียร์ ๒๐ แล้ว เกียร์ ๑๐๐ แล้วทั้งๆ ที่มันเป็นเกียร์ ๒ เกียร์ ๓ เท่านั้นเองเห็นไหม

เวลากิเลสมันให้ค่า ขนาดประพฤติปฏิบัติถูกต้องทำนองคลองธรรม มันยังพาเราไขว้เขวได้เลย นี่เจริญ.. เจริญอย่างนี้ ถ้าศาสนาเจริญ เจริญคือมีครูบาอาจารย์ที่มีคุณธรรม แล้วคอยบอกเราว่า เกียร์นี้เป็นเกียร์ที่เท่าไหร่ มันทดเฟืองเกียร์มาอย่างนี้ อย่างความเร็วของรถ มันเป็นอย่างนี้.. อย่างนี้..

มันได้แค่นี้แหละ มันไม่ใช่เกียร์สูงกว่านี้ แต่เราไม่เคยเห็น เราไม่เคยเป็น เราไม่เคยไป เราก็เข้าใจของเรา สภาวะว่ามันต้องเป็นเกียร์สูงสุด นี่สิ่งที่เป็นเกียร์สูงสุดคือว่าถึงที่สุดไง แล้วมันถึงไหมล่ะ มันไม่ถึงเพราะอะไร

มันไม่ถึงเพราะมันมีกิเลสอันละเอียด กิเลสอย่างหยาบๆ ในหัวใจของเรานี้นะ เรากำลังเริ่มต้น มันเป็นเรื่องของกิเลสหยาบๆ ปุถุชน.. กัลยาณปุถุชน ปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส กัลยาณปุถุชน ปุถุชนนี้แหละ แต่เป็นกัลยาชน

ถ้าอย่างทางโลกเห็นไหม คนที่มีกิริยาสุภาพมากเรียบร้อย เป็นผู้ที่มีมรรยาทสังคมที่ดี สังคมนั้นจะมีความอบอุ่น สังคมนั้นจะไม่กระทบกระเทือนกัน เพราะเขาไม่ใช่ปุถุชนคนที่หนาไปด้วยกิเลสที่เอาแต่ใจของตัวเอง

นี่ก็เหมือนกัน จิตที่มันเป็นกัลยาณปุถุชน มันเป็นจิตที่ควบคุมง่าย มันควรแก่การงาน ฟังสิ ฟังแค่นี้แหละ ฟังว่าจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน มันจะเป็นขั้นตอนมานะ แล้วรู้จริงเห็นจริงหมดเลย เห็นไปตามประโยชน์ของมันนะ

เพราะอะไร เพราะมันตัดได้ มันตัด รูป รส กลิ่น เสียง ที่เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันรู้เท่าทันหมด มันรู้เท่าทันเพราะอะไร เพราะเราตรึกเราดู ตรึกด้วยจิตที่มันมีรากฐาน รากฐานว่าสิ่งนี้ทำไมเราต้องทุกข์ร้อนกับสิ่งนี้นัก

สิ่งนี้มันจะเร้าใจเรานัก เรานะถ้าเราเป็นคฤหัสถ์นะ เราอยู่กับสิ่งนี้มันเป็นเรื่องของธรรมดา ความธรรมดาเห็นไหม เขาบอกว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. เป็นธรรมดา..”

เราก็อยู่กับ รูป รส กลิ่น เสียง เราเสพมันเป็นธรรมดา จนเราไม่เห็นโทษ เห็นคุณของมันเลย มันเป็นเรื่องธรรมดา มันเลยไม่รู้จักว่าสิ่งนั้นมันยอกใจขนาดไหนไง แต่เราใคร่ครวญ เรากำหนดพุทโธๆ เราดูแลรักษาใจของเราเห็นไหม จนเห็นเหมือนกับเราไปเจอสิ่งที่เป็นพิษ มันติดเชื้อ.. ถ้าติดเชื้อมันลามนะ พอติดเชื้อขึ้นไปมันเข้าสายเลือดนะ เราตายนะ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราเคยชินมันก็เคยชินอยู่อย่างนั้น มันไม่เห็นโทษของมันเลย

แต่ถ้าเป็นกัลยาณปุถุชน เราใคร่ครวญจนเห็นโทษของมันว่า ถ้าเราติดเชื้อ เรารักษาแผลของเราไม่ดี เรารักษาเนื้อตัวของเราไม่ดีไปโดนสิ่งที่ทำให้เราเป็นแผลขึ้นมาอีกเดี๋ยวติดเชื้อขึ้นมา เราถึงแก่ชีวิตได้เห็นไหม

นี่เห็นโทษของมัน พอเห็นโทษของมัน มันเข้าใจ มันเห็นความเป็นจริงมันเข้าใจ มันพิจารณาจนมันปล่อยมันขาดได้นะ “รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร” เพราะรูป รส กลิ่น เสียง นี้เองแล้วทำให้เราเป็นบ่วงแล้วเราไปติดมัน จนเราทุกข์เรายากอยู่อย่างนี้

เราจะควบคุมนะ เราเกิดมา เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไว้แล้วนะ “ทเวเม ภิกขเว ทางสองส่วนเธอไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค” เห็นไหม

ถ้ามันพอใจในเสียง ในรูป ในรสของเรานั่นล่ะ กามสุขัลลิกานุโยค มันพอใจ สิ่งนี้เป็นธรรม.. สิ่งนี้เป็นธรรม มีความสุขมาก..ว่างๆๆๆ อยู่อย่างนั้นนะ แล้วไปติดในกามสุขัลลิกานุโยค แต่ถ้าเราไปขัดแย้งกับใจ ใจนี้มันมีความขัดแย้งมันมีความโต้แย้งในหัวใจ มันเป็นความขัดใจเห็นไหม สิ่งนั้นก็เป็น อัตตกิลมถานุโยค มันขัดใจไง มันทำให้ใจเศร้าหมอง มันทำให้การประพฤติปฏิบัติมันไม่เป็นไป เห็นไหม

นี่ปุถุชน.. ถ้าเป็นกัลยาณปุถุชนมันเห็นโทษ เห็นโทษทั้งๆ ที่ไปติดความว่าง ติดว่าเป็นความสุข ติดว่าสิ่งนี้มันเป็นสมาธิด้วย มันไม่ได้เป็นสมาธิขึ้นหรอก ถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมา มันต้องมีกำลังของมัน เป็นสมาธิขึ้นมานี่มันโอ้โฮ ! โอ้โฮ ! อย่างนี้เหรอ.. ความสุขเป็นอย่างนี้เหรอ... แค่สมาธินะ สุขในขั้นของสมาธิก็มี

“สุขใดเท่ากับความสงบไม่มี” สงบของสมาธินั้นเป็นความสุขมาก ถ้าความสุขอย่างนั้นนั่นน่ะเป็นสมาธิ นั่นล่ะเป็นโสดาปัตติมรรค ถ้าก้าวเดินเป็น โสดาปัตติมรรคเห็นไหม

เราทำวัตรเมื่อกี้เห็นไหม นี่เป็นสังฆคุณในบุคคล ๘ จำพวก บุคคล ๘ จำพวก แล้วเราเริ่มต้นตรงไหน นี่มันเป็นคนหนาด้วยกันทั้งนั้น เราเป็นปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส ไอ้คนที่หนาไปด้วยกิเลส มันเป็นสิ่งที่พอกในหัวใจ มันพอกจนเต็มหัวใจเลยแล้วไม่เคยเคาะ.. ไม่เคยสนใจนะ

แต่ถ้าฟังธรรมของครูบาอาจารย์ ธรรมอันนี้มันจะไปสะกิดใจ มันจะไปกะเทาะ.. กะเทาะไม่ให้หินปูนไม่ให้สิ่งที่เป็นกิเลสเกาะหัวใจ เพราะมันเกาะหัวใจแล้วมันเริ่มสนใจเห็นไหม

เริ่มสนใจในการประพฤติปฏิบัติ เคาะมัน เคาะมัน เคาะไม่ให้สนิม ไม่ให้หินปูนเกาะใจได้ สิ่งที่แสดงธรรม ธรรมของครูบาอาจารย์สะเทือนในหัวใจของเรา เราก็เริ่มมีความรู้สึก มีความตื่นตัวเห็นไหม

“นี่เสื่อมแล้วจะเจริญ มันเสื่อมค่านะ เสื่อมค่าของมนุษย์ เสื่อมค่าของชาวพุทธ”

ชาวพุทธเกิดขึ้นมาพบพุทธศาสนา แล้วมันไม่ขวนขวาย มันไม่ได้คุณค่าของมันหรือคุณค่าของใจขึ้นมา ให้มันเป็นพุทธะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

แล้วมันตื่นไหม มันนอนจมกับกิเลส มันนอนให้กิเลสเหยียบหัวอยู่นั่น มันตื่นมาจากไหน นี่ว่าศาสนาเสื่อม เห็นไหม ความเสื่อม ใจนี้มันเสื่อม มันเสื่อมเพราะกิเลสมันครอบงำใจ ให้หัวใจอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ให้กิเลสมีอำนาจเหนืออยู่นั่น นั่นนะมันเสื่อมค่าขนาดนั้นแหละ

แต่ถ้ามันมีความตื่นตัวขึ้นมาเห็นไหม ชีวิตนี้ก็คือชีวิตนี้ ความรับผิดชอบก็คือ ความรับผิดชอบ

ในเรื่องสัมมาอาชีวะเราก็ประกอบของเราไปอย่างนี้ สิ่งที่ประกอบสัมมาอาชีวะไป เพราะมันเป็นเรื่องของอำนาจวาสนา เรื่องของสิ่งที่ทำมา มันเป็นเท่านี้ล่ะ

ดูสิ ดูเศรษฐีโลกเขาเป็นกันอยู่นี่ เขาก็กินอิ่มเดียวเหมือนกัน เขาต้องกิน เขาต้องนอนเหมือนกัน เพียงแต่เขาจะกินและนอนด้วยความทุกข์มากเลยเพราะเขาต้องบริหารจัดการ ต้องรับผิดชอบมากเลย แล้วเราเป็นคนทุกข์ คนยากขนาดไหน

ดูสิ ดูเราเป็นพระนักบวชกันอยู่นี่ เราก็บิณฑบาตฉันอยู่ทุกวัน มันก็ต้องฉันอาหารเหมือนกัน เพราะอาหารดำรงชีวิตไว้เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นหน้าที่ของใคร ทุกคนต้องทำเหมือนกัน

“เราเป็นญาติกันโดยธรรมนะ เกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน” แต่ปากท้องนี้จะใช้มันเพื่ออะไร.. ชีวิตนี้จะใช้มันเพื่ออะไร ชีวิตนี้เราเกิดมาจะเป็นประโยชน์อะไรกับเรา เกิดมาพบพุทธศาสนาขนาดนี้นะ เราเกิดมาในสังคมวัฒนธรรมของชาวพุทธเห็นไหม เกิดในประเทศสมควร แล้วชาวพุทธเห็นไหม

นักปราชญ์ในสมัยโบราณวางรากฐานไว้นะ วันไหนเป็นวันสำคัญของศาสนา วันสำคัญของศาสนาให้เรารื้อค้น ให้เราทำบุญกุศลขึ้นมา ถ้าเราทำบุญกุศลขึ้นมา ถ้ามีอำนาจวาสนา มันจะทำให้เราทำให้ลึกไปกว่านั้น สิ่งที่ลึกเข้าไปกว่านั้นคือ ศาสนาในหัวใจ ศาสนาจากภายนอกเราก็ทำกันอยู่แล้ว

ทำเพื่อให้มันมีการเปลี่ยนแปลง ให้มีการนึกคิด ให้ความเปลี่ยนแปลงแล้วเราพลิกใจขึ้นมาให้ได้ ใจนั้นพลิกขึ้นมา งานของโลกก็คืองานของโลก คนมีอำนาจวาสนาขนาดไหน เขาทำได้ขนาดไหน ดูสิ เขาก็ต้องทำแล้วทิ้งไว้ให้ทำต่อๆ กันไป

แต่ถ้างานของธรรม ถ้าเราทำเสร็จสิ้นของเราแล้ว มันจบที่เรา จบสิ้นที่เรา ใครจะมาทำต่อ ถ้าทำต่อ..มันยังมีอยู่ มันจะจบสิ้นได้อย่างไง ถ้ามันมีแต่ทำต่อ.. แล้วใครทำต่อก็ไอ้ใจดวงนี้ ในเมื่อหัวใจนี้มันเกิดมาสถานะอะไรล่ะ ถ้ามันเกิดในสถานะของอินทร์พรหม มันก็ไปทำต่อไง ถ้าเกิดในสถานะของมนุษย์ แล้วพบพุทธศาสนา ถ้าไม่พบพระพุทธศาสนาเกิดในฐานะของอะไร เกิดมาเท่านั้นเองเหรอ

นี้เกิดมาในปัจจุบันแล้ว อย่าให้มันจมกับความรู้สึกอันนี้ จมกับความคิดอันนี้ การประพฤติปฏิบัติของเรา การกระทำของเรา ดูสิเกิดมาตั้งแต่เด็กเห็นไหม มันก็ต้องร้องห่มร้องไห้เป็นเรื่องธรรมดา เด็กเวลามันไม่พอใจของมัน มันก็เรียกร้องของมัน มันก็ต้องร้องห่มร้องไห้ของเขา

ชีวิตของเราก็เหมือนกัน เราโตขึ้นมา เราทำการทำงานของเรา มันก็มีอุปสรรคไปทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่เป็นอุปสรรคเห็นไหม ดูความเข้มแข็ง ดูเราตั้งใจขนาดไหน ความตั้งใจอย่างนี้เป็นความตั้งใจของเรา ถ้าอุปสรรคมันก็เกิดขึ้นมา เราก็แก้ไขไปตามอุปสรรคนั้น นั่นเป็นเรื่องอุปสรรคของโลกนะ

แล้วอุปสรรคข้างในของเรา อุปสรรคของเราเห็นไหม เวลาเราอยู่ในที่รโหฐานของเรา เวลามันฝังใจ.. ฝังใจอย่างนี้จะแก้ไขอย่างไร สิ่งที่ฝังใจอยู่อย่างนี้มันจะแก้อย่างไรแล้วถ้าวิธีการไม่ถูกต้องมันก็ยิ่งทับยิ่งถมนะ

ดูสิเวลาเขาสุข เขาทุกข์กันเห็นไหม เขาชวนกันไปเที่ยวเตร่ เขาชวนไปสำมะเลเทเมา เขาบอกว่าอย่างนี้เป็นการแก้ทุกข์ นี่เขาแก้กันอย่างนั้น นี่มันเสื่อมค่า เสื่อมค่า ทั้งที่ว่ามันมีของดีอยู่นะ

เราเกิดเป็นชาวพุทธ ของดีคืออะไร ของดีคือศีลธรรมคุณธรรมนี่แหละ ศีลธรรมคุณธรรมมันเกิดขึ้นมันเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากตำราเหรอ ตำราเป็นชื่อนะ นี่ศีลธรรมคุณธรรม มรรคเป็นอย่างนั้น สิ่งต่างๆ เป็นอย่างนั้น มันเป็นชื่อทั้งนั้นน่ะ มันเป็นชื่อของธรรมะ ธรรมะนี้จดจารึกมาเป็นธรรมและวินัย ที่ให้เราก้าวเดินตามเป็นธรรมวินัยบอกวิธีการนะ แต่ความจริง คือ ใจของเราสัมผัสต่างหากล่ะ

ถ้าใจมันสัมผัส ใจมันแก้ไข ใจมันเปิดใจขึ้นมาเห็นไหม เหมือนภาชนะที่คว่ำอยู่ให้มันหงายขึ้นมา ถ้ามันหงายขึ้นมา มันต้องมีการกระทำ มันพอใจ ถ้าไม่พอใจ.. สักแต่ว่าทำ ! สักแต่ว่าทำผลก็เป็นสักแต่ว่า สักแต่ว่าคือไม่ได้อะไรเลยเห็นไหม

ถ้าสักแต่ว่าของพระอริยบุคคลสิ มันสักแต่ว่าเพราะรู้เท่า สักแต่ว่าเพราะทำลายสมุจเฉทปหานมัน สักแต่ว่าเพราะทำลายมันแล้วถึงเป็นสักแต่ว่า

ไอ้นี่มันสักแต่ว่าได้อย่างไร นี่มันทำสักแต่ว่ามันก็เลยได้ผลสักแต่ว่า มันสักแต่ว่าตั้งแต่กิเลสมันพาสักแต่ว่าไง กิเลสมันไม่ให้มีความจงใจ กิเลสมันไม่ให้มีการกระทำ ถ้ากิเลสมันให้ไม่มีการกระทำก็ทำแต่สักแต่ว่า ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม.. สิ่งนี้เป็นธรรม.. ให้กิเลสมันครอบหัวไว้เวลาประพฤติปฏิบัติ นี่เสื่อมมาก ! เสื่อมแล้วเสื่อมนอนจมด้วย

แต่ถ้ามันเสื่อมแล้วมีคนกระตุก เสื่อมแล้วมีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ เสื่อมแล้วมันถึงจะเจริญขึ้นมา ถ้ามันเจริญขึ้นมา เห็นไหม

ดูสิ เวลาเราทำงานทำการของเรา มันประสบความสำเร็จ มันมีความสุขมากนะ มีความสุข มีความพอใจ กับผลงานอันนั้น ถ้าผลงานอันนั้นมีความสุขกับเรา เราก็พอใจในผลงาน ถ้ามันไม่พอใจสิ่งนั้นไม่เป็นความสุข ไม่ประสบความสำเร็จอันนี้มันก็.. บุญกุศลน่ะ มันก็เป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นอุปสรรคล่ะ คนเราเกิดมามันมีอุปสรรคทดสอบใจตลอดไป

ถ้าทดสอบใจเราก็จะเข้มแข็งขึ้นมาเห็นไหม ถ้าเข้มแข็งจากภายนอก ภายในมันก็จะเข้มแข็งขึ้นมา ภายในเข็มแข็งขึ้นมามันก็จะเป็นอำนาจวาสนา วาสนาจริงๆ นะ ถ้ามีวาสนานี่มันฝึกคิด มันมีการฝึกคิด มันมีการแสวงหา ถ้ามีการฝึกคิดมีการแสวงหา

ชีวิต.. “เหรียญมีสองด้าน” สิ่งนี้ไม่ดี มันก็ต้องมีสิ่งที่ตรงข้ามเป็นคุณงามความดี เราปฏิบัติไม่ได้นี่สมาธิมันมีชื่อ ชื่อในพระไตรปิฎก ชื่อในหนังสือ มันมีอยู่แล้วเห็นไหม สมาธิเป็นอย่างนี้.. สมาธิเป็นอย่างนี้..

แต่เราไม่เคยสัมผัสสักทีหนึ่ง แต่ไม่เคยมันก็ต้องทำให้เคยได้ “มืดคู่กับสว่าง” ความเป็นไปไม่ได้ มันต้องเป็นไปได้ นี่เราก็ทำของเราไปสิ ตั้งใจ.. ตั้งใจทำของเราไปนะ ขอให้ได้ประสบสัมผัส ถ้าประสบสัมผัสทีหนึ่ง เราเกิดมาไม่เสียชาติ ไม่เสียชาติเกิดนะ ของที่มีอยู่กับเรานะ เหมือนแหล่งน้ำเลย

แหล่งน้ำที่เราใช้ เราใช้แต่แหล่งน้ำของคนอื่น แต่แหล่งน้ำของเราในหัวใจ ขุดไม่เป็นขุดไม่เจอ ทั้งๆ ที่ก็มีเหมือนกัน คนที่มีหัวใจอยู่ทำไมมันไม่มีความรู้สึกล่ะ ความรู้สึกมันต้องมีสิ

แล้วความสุขมันก็อยู่ไหนล่ะ ความสุขมันอยู่ที่เรา อยู่ที่ภายในนี้ เวลาความเพียร เห็นไหม ดูสิเดินจงกรมเดินจนฝ่าเท้าแตก เดินจนขนาดว่าอดอาหาร อดอาหาร ทำขนาดไหนมันไม่เป็น.. ไม่เป็นไป.. ไม่เป็นไปเพราะว่ามันไม่สมดุล มันไม่เป็นไป เหตุ.. เหตุมันเป็นไป ผลมันต้องตอบสนองแน่นอน

นี่ตอบสนอง มันเป็นไปไม่ได้ ที่ว่าเราตักน้ำใส่ภาชนะแล้วภาชนะจะเต็มมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ แต่เราไม่ถึง อ่อนแอเอง.. เราอ่อนแอเห็นไหม

เสื่อมค่า.. เสื่อมค่ามาตั้งแต่เกิดมาเป็นมนุษย์ เสื่อมค่าเพราะเราไม่เห็นคุณค่าของเราเองเลย ถ้าเห็นคุณค่าของเราเองนะ อะไรก็ได้.. เรื่องของโลกอะไรก็ได้อยู่กันได้ ถ้าอยู่กันได้เห็นไหม มันมีค่าอะไรเท่ากับหัวใจของคน ถ้าหัวใจของคนน่ะ

ดูสิ เหตุการณ์มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นะ แล้วคนมันก็จะหยาบไปเรื่อยๆ คุณค่าของคน.. คุณค่าของคนอยู่ที่ไหน คุณค่าของคนมันก็อยู่ที่คุณค่าของน้ำใจ

แล้วถ้าน้ำใจ น้ำใจจะเอารัดเอาเปรียบกันตลอดไปเห็นไหม โลกมันจะร้อน ร้อนเพราะอะไร เพราะคนใจมันเบา ต่อไปคนใจมันไม่หนักแน่น พอสิ่งใดเกิดขึ้นมามันก็จะแย่งชิงกันนะ แย่งชิงกันไปเพราะอะไร เพราะของมันน้อยไปเรื่อยๆ

ถ้าโลกเป็นสภาวะแบบนั้นนะ ถ้าอำนาจรัฐทำให้ประชาชนนับถือกฎหมายอยู่ มันก็อยู่กันได้ ถ้าอำนาจรัฐอ่อนแอ แล้วเราเกิดมาในอำนาจรัฐอ่อนแอ ดูสิมันเปลี่ยนไปนะ ดูรอบข้างประเทศสิ ตั้งแต่สมัยที่เขาล่าเมืองขึ้นมาก็รอบหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ลัทธิต่างๆ ก็รอบหนึ่งแล้วเห็นไหม

ทำไมประเทศเรามั่นคงมาได้ขนาดนี้ล่ะ ถ้ามองอย่างนี้แล้ว มันจะเห็นคุณค่าเลยนะ เห็นคุณค่าว่าศาสนาพุทธ สิ่งที่มันมีคุณธรรมในศาสนา ทำให้ประเทศเรารอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาตลอด

แล้วเราก็มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของชาวพุทธ แล้วเราปฏิบัตินะ นี่ชาวพุทธข้างนอกนะ ชาวพุทธข้างนอกเห็นไหม ถ้าชาวพุทธข้างในเพราะอะไร เพราะศาสนาจะมีค่าขึ้นมาได้ เพราะครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเรานี่ท่านดูแล จิตที่เป็นคุณธรรมนะ

ดูสิ เวลาเราขอฝนเห็นไหม เขาแห่นางแมวกันไปขอฝน..แห่ต่างๆ เวลาจิตผู้ที่บริสุทธิ์เห็นไหม ฝนนี้จงตกมาเถิด ถ้าบ้านเรือนกุฏิได้มุงดีแล้ว ตกลงมาเถิด ผู้ที่มีคุณธรรม ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล นี่สิ่งที่เป็นตามฤดูกาล ชาวบ้านชาวเมืองเขาก็ได้ประกอบสัมมาอาชีวะ ให้การดำรงสังคมนั้นมีความร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม

โลกยังเป็นอย่างนั้นเลย แล้วหัวใจของเรานี่สมาธิ.. ฝน..ฝนคุณธรรมได้ตกลงมาบ้างไหม ถ้าฝนคุณธรรมตกลงมาในหัวใจ หัวใจมันชุ่มชื่นนะ ดูสิที่ดินแห้งแล้งนะ เวลาฝนตกลงมามันชุ่มชื่น พืชที่มันแห้งแล้งก็เกิดขึ้นมาได้

นี่ใจของเราถ้ามันมีกำลังใจเกิดขึ้นมา เพราะมันมีคุณธรรม ศีลธรรมคุณธรรมตกลงมาในหัวใจของเรา เพราะเราทำเอง ชื่ออยู่ในตำรา นี่ปริยัติ ปฏิบัติ เกิดจากที่เราประพฤติปฏิบัติ เราทดสอบตรวจสอบ ทดสอบตรวจสอบมันก็ขึ้นมาจากความจริง ความจริงในหัวใจ มันเกิดขึ้นมาจากความจริงอันนี้เห็นไหม

มันก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเสื่อมแล้วเจริญดีกว่า เจริญแล้วเสื่อม ยุคคราวนะ ยุคคราวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจริญมากแล้วเสื่อมไปเห็นไหม แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ว่า “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง”

แล้วครูบาอาจารย์ของเรา เป็นผู้รื้อค้นขึ้นมานะ รื้อค้นมาเข้ามาในใจของครูบาอาจารย์ของเรา เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ดูสิในวงการวิชาชีพเห็นไหม เวลาสนทนากัน ถ้าเราอยู่ในวงการวิชชาชีพ

ถ้าหัวหน้าเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจ จะกล้าหาญองอาจขนาดไหน เป็นผู้ที่ขึ้นไปกล่าวปาฐกถา นี่ก็เหมือนกัน เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการ เห็นไหม ต้องเป็นอย่างนี้ ! ต้องเป็นอย่างนี้เลย ต้องเป็นอย่างนี้เพราะอะไร เพราะหัวใจท่านเป็นแล้ว ! นี่มันเจริญที่หัวใจดวงนี้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมที่โคนต้นโพธิ์ เห็นไหม ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหากเป็นผู้ที่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา โคนต้นโพธิ์นั้นมันเป็นวัตถุ ที่เป็นเครื่องหมายของทางศาสนา เป็นต้นไม้ในศาสนาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปอาศัยโคนไม้นั้น แต่หัวใจอันนั้น ความรู้จริงอันนั้น จากหัวใจดวงนั้น

เวลาว่ากล่าวสอนเทศนาว่าการ แม้แต่เทวดามาถามธรรมะว่า “มีไหม ? สิ่งต่างๆ ในมงคลชีวิตเป็นอย่างไร ? ”

มงคลชีวิต ๓๘ ประการ นี่เทศน์สอนเทวดานะ นี่มงคลชีวิตเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ก็เป็นมงคลแล้ว มงคลชีวิตไง ถึงที่สุดเห็นไหม ตบะธรรม ! นี่ถึงที่สุด.. ถ้าทำถึงที่สุดแล้วมงคลชีวิต คือสิ้นจากสิ่งที่เป็นความเศร้าหมองของใจ ถ้าใจมันสงบ

มงคลชีวิตนี้อย่างนี้ประเสริฐที่สุด ในมงคล ๓๘ ประการนี่ ตั้งแต่อเสวนาไม่คบคนพาลคบแต่บัณฑิตเห็นไหม พาลนอกพาลใน เกิดในประเทศอันสมควร เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ดูแลสมณะ ชี พราหมณ์ แล้วทำตบะธรรมขึ้นมา สิ่งเหล่านี้มันย้อนกลับเข้ามาถึงเราทั้งนั้น

เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ มันก็ย้อนกลับมาที่ใจของเรา ถ้ามันเป็นคุณงามความดี คุณงามความดีต้องย้อนกลับมา ความดีคือความดี แต่ถ้าความดีเพราะสิ่งที่มันเป็นกิเลสในหัวใจของเรา กิเลสในหัวใจของเราทำความดีขนาดไหน มันก็แบ่งส่วนไปกินทั้งนั้นน่ะกิเลสมันจะแบ่งส่วนไปกินอยู่

แล้วเราถึงต้องก้าวเดินระหว่างสมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐาน ถ้ามีสมถกรรมฐานอยู่ปราบกิเลสตลอดเวลา ปราบสิ่งที่มันเป็นส่วนแบ่งที่เอามาแบ่ง แบ่งคุณธรรมในหัวใจของเรา ปราบมันตลอดเวลา

สมถะคือสมาธิกดไว้ทั้งนั้น กดมันไว้ กดมันไว้ ไม่ให้มันเพ่นพ่าน ไม่ให้กิเลสมันเพ่นพ่านนะ กิเลสเวลามันเพ่นพ่านออกมา มันว่าสิ่งนี้เป็นปัญญา.. สิ่งนี้เป็นวิปัสสนา.. มันทำให้เตลิดเปิดเปิง

แต่ถ้ามันมีสัมมาสมาธินะ มันกดกิเลสเอาไว้ก่อน เวลามันเกิดขึ้นมา มันก็เกิดขึ้นมาด้วยคุณธรรม เกิดขึ้นมาด้วยสัจธรรม เกิดขึ้นมาด้วยภาวนา เกิดขึ้นมาเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาญาณอย่างนี้มันคอยตัดคอยถอดถอนไป จะบั่นทอนให้กิเลสกดมันไว้ก่อน แล้วค่อยหาทดสอบตรวจสอบ ทำลายมัน..ทำลายมัน.. ไปเรื่อยๆ เห็นไหม

เราทั้งนั้นนะที่จะทำลายกิเลสของเรา เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ กิเลสมันอยู่ที่ความรู้สึก แล้วเวลามันสุข มันทุกข์ มันเกิดจากความรู้สึก แล้วความรู้สึกนี้มันพัฒนาขึ้นมามันเป็นมรรคญาณ มรรคญาณเห็นไหม

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการธรรมจักรวันนี้ เวลาอาสาฬหบูชาเทศน์ธรรมจักรเห็นไหม ธรรมจักรเกิดขึ้นมาเป็นสิ่งที่ว่าเป็นกิจญาณ.. สัจญาณ.. ถ้าเราไม่มีกิจญาณ ไม่มีสัจญาณ ไม่มีสิ่งต่างๆ เราจะไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์

สิ่งนี้กิจญาณเห็นไหม ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ เห็นไหม เกิดปัญญา เกิดญาณ เกิดความสว่าง เกิดความรู้แจ้ง สิ่งนี้ความรู้แจ้ง แล้วมันไปรู้แจ้งที่ไหน..

พระอาทิตย์ขึ้นมันสว่าง เวลาสว่างขึ้นมาดูสิกลางวันร้อนไหม สว่างอย่างนี้เป็นสว่างอะไร.. สว่างด้วยอุณหภูมิ สว่างด้วยวัตถุ ความสว่างกระจ่างแจ้งของใจต่างหาก

จิตที่มันเศร้าหมอง จิตที่มันไม่เข้าใจสิ่งใด อะไรๆ ก็เป็นเรา ร่างกายก็เป็นเรา ใจก็เป็นเรา ทั้งๆ ที่ใจนี้เป็นเรา ใจกับกิเลสความรู้สึกมันอยู่นี่ แล้วกิเลสมันครอบหัวมันอยู่นี่ มันบอกว่าเป็นเรา เป็นเรา ยังไม่ได้เลยเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เป็นเราขึ้นมา คิดขึ้นมารอบหนึ่ง มันเป็นอนิจจังรอบหนึ่ง ความคิดที่เกิดขึ้นมาต่างๆ ในรอบ สิ่งที่มันเกิดขึ้นมากับสิ่งที่ไปยึด อะไรเป็นทุกข์ มันก็รอบหนึ่งเห็นไหม

ดูสิ เวลาคิดถึงอะไรที่ไม่พอใจมันก็ยอกใจอยู่อย่างนั้นล่ะ คิดถึงความดี คิดถึงสิ่งที่เป็นบุญกุศล คิดถึงสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์กับใจ มันก็แค่ชั่วคราว..ชั่วคราว เห็นไหม รอบหนึ่ง.. รอบหนึ่ง

แล้วมันก็เกิดขึ้นมา.. เกิดขึ้นมา.. มันก็ทำลายหัวใจ ทั้งๆ ที่มันเป็นเรานี่ มันยังพ่นพิษให้เราเลย ทั้งๆ ที่เป็นเรา ใจนี้เป็นเรา ใจที่มันคิดอยู่นี่ มันก็คิด มันก็คลายพิษ..คลายพิษ..เห็นไหม

ที่ว่ามารมันครองใจ มันครองใจอย่างนี้ ความคิดของเราถึงต้องทำสมถะ กดมันไว้ก่อน ถ้ากำลังสู้ไม่ไหวสมาธิจับไว้ กดไว้ก่อนๆ เราต่อสู้ฆ่าศึกไม่ได้ เราก็พยามหลีกเลี่ยง พยายามกดมันไว้ก่อน แล้วหากำลังเข้ามาพยายามต่อสู้มัน

ถ้าพยายามต่อสู้มันเห็นไหมนี่ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ความสว่างกระจ่างแจ้ง ความรู้เท่านี่ กิจญาณคือ การกระทำ สัจญาณคือ ความจริง สิ่งที่เป็นความจริงเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาอย่างไร สิ่งที่ว่ามันเป็นความรู้สึกของใจ ใจที่มันหมุนไปเป็นธรรมจักร เป็นงาน มันเห็น มันรู้เท่านะ

เราว่าเวลางานสิ่งที่ทำขึ้นมา มันจับต้องได้จากภายนอกมันจับต้องได้ แล้วความคิดมันเป็นนามธรรม... แต่มันเป็นนามธรรม มันแตกแขนงเห็นไหม ดูสิเวลาเชือก เกลียวเชือกแตกเกลียวแล้วรวมตัวกันเป็นเชือกเส้นเดียว เห็นไหม ใช้คล้องช้างก็ได้

เวลาเขาลากจูงเรือเห็นไหม เรือเดินสมุทร เชือกเขาเส้นใหญ่มากสลิงของเขาเชือกของเขาเส้นใหญ่มากจะดึงสิ่งใดๆ คล้องไว้เป็นประโยชน์เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นปัญญา มันเป็นสติ มันเป็นวิมุตติต่างๆ มันอยู่ในใจของเรามันเป็นมรรคญาณ มันจะเริ่มต้นดำเนินการอย่างไร มันมีการดำเนินการออกไป

มันถึงมีกิจญาณ กิจญาณการกระทำของใจ ใจมันทำอย่างไรขึ้นมา นี่มันต้องฝึกฝนนะ สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันเป็นสิ่งที่เป็นวัตถุ เราสั่งได้ เราช่วยเหลือกันได้ เราเจือจานกันได้ แต่สิ่งนี้.. แบบว่าครูบาอาจารย์ท่านคอยจี้คอยไชขนาดไหน ทำนา ! ทำนา ! ทำนา ! เพราะอะไร มันเหมือนสิ่งที่เรามันควรกระทำ แต่คนทำแล้วมันไม่เข้าใจ

ดูสิ เวลาเราไปเจอผู้ใหญ่สั่งให้เราทำงานนะ จนมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูกสักอย่างเลย นี่ก็เหมือนกันทำไม่ถูกเพราะอะไร เพราะเขามีตำแหน่งหน้าที่ เราไปเกรงกลัวเขาแต่อันนี้มันเรื่องความรู้สึกของเรา เรื่องของกิเลสเรา เรื่องของความเป็นไปของเรา

ถ้าเราไม่สร้างขึ้นมา เราไม่ทำอะไรมันจะเจริญขึ้นมาได้อย่างไร ที่มันเจริญขึ้นมา มันจะมีฐานของมัน จิตต้องมีพื้นฐาน สิ่งนี้พื้นฐานเห็นไหม พอพื้นฐานขึ้นมานี่สมถกรรมฐาน เป็นภวาสวะ เป็นภพ งานมันเกิดที่ตรงนั้นไง งานเกิดที่ตรงนี้นะ

เวลาเราเดินจงกรม เรานั่งสมาธิเราต้องการที่นี่ร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม ทางจงกรมก็ขอให้ร่มๆ ทางจงกรมก็ของให้ราบเรียบ นี่คืองานของเรา งานการปรับพื้นที่เห็นไหมไอ้สิ่งที่ทำอย่างนี้ มันเป็นกิริยา กิริยาการกระทำออกไปก็เคลื่อนไหวออกไปไง เหมือนกับสิ่งที่ว่า เราจะล่อเสือออกมาจากถ้ำเพื่อจะฆ่าเสือ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่เข้าไปถึงหัวใจของเรา แล้วจิตไม่สงบขึ้นมา จะปรับพื้นฐานตรงนี้ไม่ได้ เวลาความคิดก็เกิดขึ้นมา เห็นไหม ภวาสวะ ภพ มันก็เกิดที่นี่ ความคิดความอ่านต่างๆ เกิดจากที่นี่ ความสุขความทุกข์ก็เกิดขึ้นจากใจ เกิดขึ้นจากใจแล้วก็ดับที่ใจ แล้วก็คายทุกข์ไว้กับใจ..

แต่ถ้ามันเป็นปัญญาขึ้นมา เห็นไหม มันเห็นสิ่งที่มันเป็นทุกข์นี่แหละ ปัญญานี้แหละ สิ่งที่เป็นสังขารปรุงแต่ง ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร สังขารเป็นความคิด ความปรุง ความแต่ง สิ่งที่เป็นความคิด ความปรุง ความแต่ง เพราะมันมีกิเลสเต็มหัวใจของมัน

มันเลยคิดเลยแต่งเหมือนช้างสารที่ตกมัน มันคิดจนเราไม่มีปัญญาเอามันอยู่ในอำนาจของเรา เลยไม่มีปัญญาหรอก! แต่ถ้าเรามีสติ ตั้งสติไว้ แล้วพยายามทำให้มันมีความสงบเข้ามาให้ได้ ถ้าสงบเข้ามาจะมากจะน้อยไม่สำคัญ มากหรือน้อยเพราะของมากมาจากของน้อย ของที่ทำไม่ได้มาจากทำได้ นี่สิ่งที่ทำไม่ได้.. สิ่งที่ทำได้มาจากทำไม่ได้ มันต้องทำของมันขึ้นมาเห็นไหม มันจะสร้างสมเป็นประสบการณ์นะ

ไม่มีแชมป์คนไหน ไม่มียอดนักกีฬาคนไหน มาเป็นนักกีฬาเอกได้เลย ถ้าเขาไม่ได้ฝึกฝนขึ้นมา เขาไม่มีโอกาสได้แข่งขันขึ้นมา ใจเราก็เหมือนกัน เราจะไปน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้

ครูบาอาจารย์ท่านทำได้ เราทำไม่ได้.. เราทำไม่ได้ ดูสิเริ่มต้นมันก็อ่อนแอแล้ว เราทำไม่ได้ ท่านทำได้ เราทำไม่ได้.. แล้วทำไมเรากินได้ล่ะ ท่านก็กินเหมือนเรานี่ ท่านก็กินได้เราก็กินได้ ท่านก็นอนเหมือนเรา ท่านก็กินท่านก็นอนเหมือนเรานี่ ทำไมเราทำไม่ได้ ทำได้..ถ้าเราทำได้ขึ้นมา เออ ! ถ้าทำได้มันก็ตั้งใจจะทำ จิตใจมันก็เข้มแข็ง ..เข้มแข็งขึ้นมา

งานจากภายในนะ งานภายในเป็นคุณประโยชน์ของเรา งานจากภายนอกนั้น บริหารจัดการได้

ดูสิ ในปัจจุบันนี้ มีเงินมีทองจ้างทำได้หมด ให้ทำอะไรก็ได้ เงินทองทำอะไรได้หมดเลย แต่เงินทองซื้อมรรคผลได้ไหม เงินทองซื้อความสุขให้เราได้ไหม มันทำไม่ได้นะ มันถึงซื้อไม่ได้

อันนี้มันแข่งขันกันไม่ได้ อำนาจวาสนาแข่งกันไม่ได้ แต่ทำได้เพราะอะไร เพราะมันมีชีวิตไง มันมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เราไม่หายใจทิ้งเปล่าๆ การหายใจก็มีสติตลอดไป หายใจเข้าก็มีสติ หายใจออกก็มีสติ สติสัมปชัญญะพอไปเห็นอะไรกระทบใจ มันจะย้อนเข้ามา.. ย้อนเข้ามา.. มันสะเทือนใจนะ

คนมีคุณธรรมในหัวใจ.. มองโลกไปสิ มันน่าสงสารไหม ทำไมเขาทุกข์เขาร้อนขนาดนั้น เขาดิ้นรนเขาทำอะไรกันอยู่น่ะ แล้วเราจะทำอะไรของเรา เราก็ประกอบอาชีพนี่แหละ เราก็อยู่กับเขานี่แหละ

แต่เรามองเข้ามาข้างในนะ คนมองสั้นมองยาวก็ต่างกัน คนมองข้างนอกมองข้างในก็ต่างกัน คนมองเพื่อเอาเปรียบ คนมองเพื่อเสียสละเพื่อจะเจือจานเขา แต่จะเจือจานเขาก็เจือจานเขาไม่ได้ กิเลสนะมันไม่ยอมรับของใครหรอก สิ่งที่เราจะช่วยเหลือเจือจานเขา ก็ต้องเจือจานเขาแบบให้เขามีศักดิ์ศรี ให้เขาได้ยอมรับอันนี้

ถ้าเราจะเจือจานเขาโดยการที่ว่าเราให้เขาโดยซึ่งๆ หน้าเห็นไหม กิเลสเล่ห์เหลี่ยมมันไม่ยอมรับหรอก มันไม่ยอมรับนะ จะเอาจากใครมันก็ไม่ยอม ไม่ยอมทั้งนั้นไม่ยอมรับแล้วทุกข์ไหม ก็ทุกข์อยู่อย่างนั้น เขาช่วยก็ไม่ยอม.. ไม่ยอมก็ไปอมทุกข์อยู่อย่างนั้น นี่มันแก้กันไม่ได้..

ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมา มันจะเข้าใจตรงนี้ไง รู้จักทิฐิมานะ รู้จักทิฐิในหัวใจของคน ถ้าหัวใจของคนเพราะอะไร เพราะหัวใจของคนก็คือหัวใจของเรา ใจเราก็เป็นอย่างนี้ ใจนี่มันมีทิฐิอย่างนั้น กิเลสมันเป็นอย่างนี้

กิเลสนี่มันฉลาดมาก มันฉลาดมากนะ มันมีทิฐิมานะ มันมีเล่ห์เหลี่ยมของมันนะเอาเรานี่หัวปั่นอยู่ในอำนาจของมันตลอดมาเลย แล้วเราใช้วิธีการอย่างใด เราใช้วิธีการล่อหลอกอย่างไร ทำให้มันปรับฐานขึ้นมาให้ได้

แล้วปรับฐานขึ้นมาให้ได้ จนเห็นจิตดวงนี้ เห็นบุญ เห็นคุณ เห็นประโยชน์ พอเห็นคุณประโยชน์ เขาจะขวนขวายของเขา เขาจะก้าวเดินของเขา ถ้าจิตของเขาเห็นโทษของการกระทำของเขานะ เขาจะเปลี่ยนแปลงของเขา แต่กว่าจะเห็นโทษได้ มันต้องมีอุบายวิธีการ มีอุบายวิธีการที่จะเปลี่ยนแปลงจิตดวงนี้ได้อย่างไร

ถ้าจิตดวงนี้เปลี่ยนแปลงได้ มันก็เป็นประโยชน์ของจิตดวงนี้เห็นไหม ทรมานสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์.. เอาอะไรไปรื้อ? เอารถแทรกเตอร์ไปขนมาเหรอ ไม่เป็นหรอก รื้อสัตว์ขนสัตว์

ดูสิ เวลาเราไปตลาด ดูสิ รื้อสัตว์ขนสัตว์อยู่ในแผงมหาศาลเลย นี่เขาขนกันมาอย่างนั้นเหรอ เขาขนแต่ซากมานะ ซากที่เป็นอาหารเอามาขายกัน แล้วจิตวิญญาณที่มันออกไปนี่มันไปไหน นี่ก็เหมือนกัน การรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยวิญญาณ รื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยชีวิต ด้วยความรู้สึก รื้อสัตว์ขนสัตว์ไม่ให้เกิด ไม่ให้การตายอีก การเกิด การตาย จิตหนึ่ง เกิดตาย เกิดตาย

นี่ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย ไม่มีต้นไม่มีปลาย การเกิดและการตาย ความทุกข์ของที่เราร้องไห้ไว้นี่ถ้าเก็บไว้เป็นน้ำ ทะเลสู้ไม่ได้เลย แต่มันก็ระเหยไป มันก็หมุนเวียนไป เห็นไหม

การเกิดการตาย แล้วถ้ามันเกิดมันตาย ถ้าได้จิตดวงหนึ่งมันก็ได้สัตว์ตั้งเท่าไหร่ เพราะมันเกิดมันตายอยู่อย่างนั้นน่ะ นับครั้งไม่ถ้วน.. มันก็ซากศพนับไม่ถ้วน เราเกิดมานี่ เกิดตาย.. เกิดตายนะ นั่งอยู่บนกองกระดูกนะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเรานั่งอยู่บนกองกระดูก เรามานั่งทับถมกองกระดูกของเราเองอยู่นี่

สิ่งที่เป็นธาตุคมแข็ง เป็นธาตุดิน เห็นไหม แล้วในร่างกายเรา ธาตุ ๔ เห็นไหม ธาตุ ๔ มันเป็นไป รื้อสัตว์ขนสัตว์.. รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่นี้ มันถึงรื้อยาก ขนยากไง

ดูสิ ดูการครองเรือนสิ เราครองเรือนเห็นไหม ใจของเรายังครองไม่ได้เลย มันครองเรือนก็มีคู่สามีภรรยาก็ต้องสองหัวใจ ต้องสมานฉันท์กัน แล้วเกิดมีลูกมีเต้าขึ้นมา มันกี่หัวใจ มันร้องทั้งวัน มันดิ้นรนทั้งวันๆ ทุกข์ไหม..ทุกข์ไหม..

นี่แล้วจะไปครองเรือนข้างนอก แล้วเวลาหัวใจทำไมไม่ไปครอง ถ้าครองในหัวใจมันย้อนกับมาเห็นไหม พรหมจรรย์.. ถือภพพรหมจรรย์.. เห็นไหม พรหมจรรย์เพื่อใคร ?

พรหมจรรย์เพื่อใจดวงนี้ไง ไม่ได้ถือพรหมจรรย์เพื่อจะไปอวดใคร เพื่อจะไปเป็นครู เป็นอาจารย์ใคร ถ้าถืออย่างนั้นนะมันถือหลอกๆ ถือโดยเล่ห์ ถ้าถือโดยเล่ห์มันจะเอาความจริงมาจากไหน ถ้าถือจากความจริงมา ถือมันไปอย่างนั้น เหมือนการปฏิบัติเลย ปฏิบัติจากความจริง ปฏิบัติเพื่อสมาธิ ไม่ปฏิบัติ เห็นไหม

ดูสิ ดูพระปัจจุบันนี้เข้าป่ารอบหนึ่งออกมานี่ พระป่า.. พระป่า.. สัตว์ป่ามันอยู่ในป่าตลอดไป มันทำไมไม่ไปกราบไปไหว้มันล่ะ สัตว์ป่ายังไปล่ามันเป็นอาหารเลย

ถ้ามันเข้าป่าอยู่ในป่าแล้วเป็นพระอรหันต์ก็กราบสัตว์ป่า แต่ป่านี่เขาเอาไว้ฝึกฝน ถ้ามันฝึกฝนด้วยความบริสุทธิ์เห็นไหม

ดูสิ เวลาเราเข้าไปด้วยความซื่อสัตย์เห็นไหม แล้วเข้าไปด้วยบริขาร ๘ เราไม่มีอะไรเข้าไปเลย อยู่ในป่าสัตว์มันยังอยู่ของมันได้ มันยังดำรงเผ่าพันธุ์ของมันมา แล้วมันอยู่ของมันโดยธรรมชาติของมัน เพราะมันเกิดเป็นสัตว์เห็นไหม สัตว์เดรัจฉานเป็นอบายภูมิ แต่มันเคยอยู่ในป่าของมันเห็นไหม แล้วมันเป็นห่วงโซ่วงจรของป่า..

แล้วเราเข้าไปเราเป็นมนุษย์ เราเป็นนักรบ เราเป็นศากยบุตร นี่เราจะเข้าป่าไปเพื่อค้นคว้าหากิเลสไง เข้าป่าไปเพราะที่นั่นมันมีความสงัด มันมีความวิเวก เราอยู่กันคลุกเคล้าไปนี่มันนอนจมไง คนโน้นก็คอยช่วยเหลือเรา ขาดแคลนคนนี้ก็เอาที่นี่ก็ได้ แล้วถือวิสาสะหยิบฉวยไปได้หมดเลย

แล้วกิเลสมันก็ขี่หัวเอานะสิ เวลาไปอยู่ในป่า.. มันจะอยู่ที่ไหน.. มันไปอยู่ตรงโคนไม้โน้นสิ ไปหยิบเอาแต่ดิน มันหยิบเองไม่ได้ มันทำอะไรไม่ได้หมดเลย แล้วไปอยู่ในสภาวะแบบนั้นมันอยู่ที่อำนาจวาสนา

หัวใจมันจะดิ้นรน.. เวลาจับคนเข้ากรงขัง ดูสิ คนเวลาติดคุกน่ะเก่งไปหมดเลย พอเข้าคุกคอตกหมดนะ นี่ก็เหมือนจับกิเลสมันขังไว้ไง เข้าป่าไป.. ขังมันไว้ ! อย่าให้มันออกมาเพ่นพ่าน พอเข้าไปถ้าอยู่คลุกเคล้ากันนี่ มันก็เพ่นพ่านของมัน กิเลสมันขี่หัวเลย

โน่นก็เป็นไป นี่ก็เป็นไป อุ้ย ! มรรคผลนิพพานอยู่แค่เอื้อมเท่านั้นล่ะ นี่เพราะมันเพ้อฝันของมันไป นี่เสื่อม จิตนี้เสื่อมมาก เวลาเข้าในป่าในเขา เห็นไหม ทุกข์ไหม ? ทุกข์ เพราะอะไร เพราะมันไม่มีอะไรเลยที่เป็นไปตามความพอใจของกิเลส อะไรที่ปรารถนาก็ไม่เคยได้

มีชาวบ้านกี่เรือน กี่หลังคา ก็บิณฑบาตกับเขา เขามีอะไร เขามีความทุกข์ คนทุกข์คนจนขนาดไหน เขามีสิ่งอะไรดีของเขา เขาก็ใส่ของเขา ไม่ใช่ว่าต้องไปให้คนรวยมาใส่เรานะ เพราะเราจะไปแก้กิเลสนะ

เราจะไปแก้กิเลสของเรา เราจะไปดัดแปลงตนของเรา เราจะไปอยู่ในป่าของเราเพื่อไม่ให้กิเลสมันได้ใจของมันเห็นไหม มันได้สิ่งใดก็เป็นอย่างนั้นล่ะ เพราะเราขณะปัจจุบันที่จะปิดล้อมมัน ขณะที่จะทำลายกิเลสมันจะต้องไม่ให้มันมีอำนาจไง เข้าป่าเข้าเขาไป สิ่งที่มันไม่พอใจของมัน สิ่งที่อยากได้ ไม่เอา สิ่งที่มันไม่พอใจ ทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ฝืนมันไป..ฝืนมันไป..

หน่อแรด.. หน่อแรดไปหนึ่งเดียว หน่อแรดมันก็มีกำลังของมันขึ้นมา มันก็มีความองอาจกล้าหาญขึ้นมา ใจมันก็มีคุณธรรมขึ้นมา ถ้าใจมันมีคุณธรรมขึ้นมาเห็นไหมมันเกิดมาจากไหน..ก็มันเกิดมาจากป่านี่ไง มันเกิดมาจากป่าเพราะอะไร เพราะเราเป็นสุภาพบุรุษไง

เราเข้าไปเห็นไหม เราเข้าไปแบบนิสัย ๔ รุกขมูลเสนาสนัง เห็นไหม เราเข้าไป เราเป็นลูกศิษย์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาจากป่า อยู่คลุกคลีขนาดไหนมันไม่มีคุณธรรมหรอก ออกไปอยู่ในป่าเห็นไหม แล้วออกไป โคนต้นไม้ศึกษาธรรมมาจากโคนต้นไม้ไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราซื่อสัตย์ เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเข้าป่าไป..แล้วเข้าป่าไปเพื่อดัดแปลงตน เข้าป่าไปเพื่อประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่เข้าป่าไปว่าฉันเป็นพระป่า ฉันเป็นพระป่า.. พระป่ามันอยู่ที่ไหน.. พระป่ามันอยู่ในหัวใจนี้นะ

ปราบปรามทำลายป่า ทำลายรกชัฏ ความรกชัฏของใจ ไม่ให้กิเลสมันหลบซ่อนอยู่ในใจนะ กิเลสมันแอบบังเงาอยู่ในหัวใจ แล้วก็หลอกกินกันอยู่นี่ สิ่งที่หลอกกินมันถึงนอนจมกับกิเลสไง ยอมจำนนกับมัน ทั้งที่เราเป็นนักรบนี่นะ ทั้งๆ ที่เป็นการต่อสู้กับกิเลสนะ แล้วนอนจมให้กิเลสมันเหยียบหัวเอาอย่างนี้ แล้วบอกว่าเป็นพระป่า พระป่า

พระป่า.. คุณสมบัติของพระป่ามันอยู่ตรงไหน คุณสมบัติของพระป่า คือ ความรู้แจ้ง ความรู้แจ้งของใจ ถ้าใจมันรู้แจ้งขึ้นมา เห็นไหม มันจะเจริญขึ้นมา มันเจริญเพราะมันมีบาทฐาน มันจะเจริญขึ้นเพราะมันมีบาทก้าวนะ เรามีฐานก้าวขึ้นไป มันจะเจริญไหม

ถ้าเรามีความซื่อสัตย์ มีศีลธรรมในหัวใจของเรา มันมีบาทฐานก้าวขึ้นไปมันจะก้าวไปได้ไหม มันต้องก้าวได้สิ แต่นี่มันอ่อนแอที่มันไม่ทำ สิ่งอะไรก็แล้วแต่ มันจะลอยมาจากฟ้าไง

เหมือนการศึกษานี่ การศึกษาแล้วเอากระดาษไปคนละใบ นี่การศึกษา..ศึกษาจบแล้วได้กระดาษมาใบหนึ่ง จะทำเป็นหรือไม่เป็น.. ไม่เป็นไร

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติจะให้มันเป็นอย่างนั้น ให้ทำอย่างนั้น ให้รับรอง ศึกษามาแล้ว จำได้ รู้แล้ว กิเลสมันหัวเราะเยาะ ! กิเลสมันขำกลิ้งเลย โอ้ ! พระป่าเป็นอย่างนี้เนาะ พระป่ามีกระดาษคนละใบแขวนไว้ตามตัวว่า “ฉันเป็นพระป่า” ไม่ใช่ ! ถึงว่าการศึกษา การเข้าไปป่าเพื่อดัดแปลง เข้าไปป่าเพื่อชัยภูมิเห็นไหม ชัยภูมิในป่าเข้าไปแล้วมันไม่มีสิ่งใดที่จะได้สมใจอยาก แล้วเป็นชัยภูมิในหัวใจ

ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา นี่ภวาสวะ ตัวฐาน ตัวภพ ตัวเริ่มต้นของจิต ตัวเริ่มต้นของความคิด ความคิดมันอยู่ที่นี่ ถ้ามันคิดมันอยู่ที่นี่ เราปิดล้อมมัน ปิดล้อมมันนะ ไม่ให้มันได้ดั่งใจ ถ้ามันได้ดั่งใจนะ มันกินอิ่มนอนอุ่น มันออกได้ตาม หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันได้ทุกอย่างที่มันพอใจเลย

แต่เวลาธรรมะขึ้นมาจะให้เข้าถึงใจได้ไหม..ไม่ได้สิ่งใดเข้ามาเลย แต่ถ้าเรามีสติแล้วกำหนดพุทโธ พุทโธเห็นไหม ปิดล้อมให้หมด

นี่ดูสิ เขากั้นเขื่อน เขากั้นฝาย เขากั้นแล้วทำไมเขาได้น้ำมาล่ะ นี่เราก็กั้นใจของเราไว้ได้ เพราะใจของเรามันไปไม่ได้ตามอำนาจของมัน มันไม่รั่ว..ใจไม่รั่ว ใจไม่ซึม..ใจไม่แตก นี่สิ่งที่ใจไม่รั่วไม่ซึม เราปิดล้อมไว้แล้วเราพัฒนาของเราขึ้นมา สะสมขึ้นมา

มันก็ต้องมีน้ำใจขึ้นมา น้ำของใจขึ้นมาเห็นไหม น้ำอมตะนิพพาน น้ำอมตะ น้ำอมฤตอย่างนี้มันจะเข้ามาชำระล้าง ชำระล้างความสกปรกโสมมของใจ ชำระล้างความสกปรกโสมมของกิเลสตัณหาที่มันอยู่ในหัวใจนี้ แล้วมันบีบบี้ มันขี้รด มันเอารัดเอาเปรียบใจเรานี่ สิ่งนี้มันกัดกร่อนใจมาตลอดนะ

สิ่งที่เป็นวัตถุมันกัดกร่อนแล้วมันจะเสื่อมค่า มันจะสลายไป มันจะกัดกร่อนจนมันทำลายของมันเองจนมันหมดค่าไปนะ แต่หัวใจกัดกร่อนขนาดไหน ยิ่งกัดกร่อนยิ่งทุกข์ยิ่งยาก แล้วไม่เคยทำลายเห็นไหม ใจนี้มหัศจรรย์..มหัศจรรย์จริงๆ

มหัศจรรย์ในการคงทนมาก กิเลสมันจะทำลายขนาดไหน ยอมรับความจำนนอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่เอาตัวเองรอดไม่ได้ เว้นแล้วแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นแล้วมาแสดงธรรมจักรนี่เห็นไหม รื้อสัตว์ขนสัตว์ ! รื้อสัตว์ขนสัตว์จากภายในสัตตะผู้ข้อง หัวใจมันข้อง ข้องมันพอใจ

แต่ถ้าใจมันพ้นจากโลกไป พ้นจากวัฏฏะเห็นไหม มันไม่ข้องนะ สิ่งใดมานี้ผ่านหมด มันจะติดใจดวงนี้ไม่ได้เลย ใจดวงนี้มันรู้เท่าของมันหมด มันไม่มีอะไรจะติดมันได้เลย นี่สัมมาสมาธิใจมันอิ่มเติมไม่ติดข้องเพราะอะไร เพราะมันมีตัณหาความทะยานอยาก มันมีอวิชชาอยู่ในหัวใจ มันเป็นสื่อให้มันติดข้องได้ แต่การความสงบของใจ

ใจสงบหินทับหญ้าไว้ กดกิเลสมันไว้ แล้วใช้วิปัสสนาไปทำลายมัน ทำลายมัน จนถึงที่สุด จากโสดาบัน สกิทาคา อนาคา จนถึงที่สุดมันพ้นไปหมดแล้ว สิ่งใด ใจก็มีอยู่เห็นไหมยืนยันว่าใจมีอยู่

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดาของเรา ๔๕ ปีนี่เทศนาว่าการ ๔๕ ปี สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าพระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งนี้มันสื่อได้ เพราะความเป็นพระอรหันต์ ความเป็นธรรมในหัวใจนี่ มันเข้าใจว่าจิตที่มันสกปรกเป็นอย่างไร เพราะปุถุชนจิตมันเป็นกิเลสหนาๆ ด้านๆ ทั้งนั้นน่ะ บวชมาจะศึกษามา มันจะเอาความสะอาดมาจากไหน มันก็หนามาด้วยกันทั้งนั้นน่ะ

แล้วเวลาวิปัสสนาไป มันเลาะไปมันทำลายไป มันปลดเปลื้องไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันเห็นการเปลี่ยนแปลงของใจเป็นชั้นเป็นตอนไป

โสดาบันก็เปลี่ยนไปอย่างหนึ่ง สกิทาคาก็เปลี่ยนไปอย่างหนึ่ง อนาคาก็เปลี่ยนไปอย่างหนึ่งเห็นไหม สิ้นสุดของอรหันต์ก็เปลี่ยนอย่างหนึ่ง แล้วเปลี่ยนไปอย่างหนึ่งแล้วมันเหลืออะไรล่ะ มันเหลืออะไร..ใจมันเหลืออะไร..

ใจที่มันเกิดมันตายนี่มันเหลืออะไร ใจที่มีกิเลสอยู่ มันก็พาเกิดพาตาย มันก็พาเกิดพาตาย.. อยู่อย่างนี้

แล้วเวลามันชำระกิเลสจนมันสิ้นไปแล้ว ใจมันสะอาด มันสะอาดอย่างไร แล้วมันสะอาดขึ้นมาแล้วมันไม่เกิดอีก ไม่เกิดตรงไหน สิ่งที่เป็นอย่างนี้มันก็เหมือนกับเราเป็นผู้อำนวยการทั้งหมด ใจดวงนี้ที่มันไม่ถึงที่สุด เห็นไหม

ดูสิ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนไปไม่มีที่สิ้นสุด มันเกิดภพ..เกิดชาติ..มาขนาดไหน แล้วมันเกิดภพเกิดชาติขึ้นมา มันก็อยู่ที่เรา ต้นขั้วมันอยู่ที่ความรู้สึกเรานี่ ต้นขั้วมันอยู่ที่ใจ ต้นขั้วมันอยู่ที่ ภวาสวะ ที่ภพ ที่หายใจที่เป็นนามธรรมอยู่นี่ ต้นขั้วมันอยู่ที่นี่ แล้วมันก็ไปอดีต..อนาคต เห็นไหม

บุพเพนิวาสานุสติญาณก็ไปอดีต อดีตก็ย้อนไปไม่มีที่สิ้นสุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมา เป็นจุตูปปาตญาณ ถ้ามันไม่ทำชำระ มันก็เกิดอีกเห็นไหม จิตดวงนี้ตายไปแล้วไปเกิดตรงนั้น ตายแล้วเกิดตรงนี้ มันเป็นไปหมด

จิตคนอื่นเราก็เห็น จิตของเราก็เห็น แล้วเวลามันสิ้นสุด มันสิ้นสุดอยู่ที่เรา เวลามันย้อนกลับมาที่เรามันทำลายที่นี่ มันปัจจุบันธรรม ทำลายกิเลสแล้วมันเหลืออะไร ? มันก็เหลือสิ่งที่เป็นธรรมธาตุ ถ้าถือว่าใจเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ มันเป็นสมมุติ มันเป็นบุคคลาธิษฐาน

นี่ใจพระอรหันต์ จิตพระอรหันต์ เป็นบุคคลาธิษฐาน แต่ความจริงมันไม่มีหรอก ความจริงมันมีถ้ามีก็เป็นภพ มีอาสวะ ๓ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะคือตัวภพ คือตัวฐาน คือตัวความคิด ความคิดเกิดที่นี่ แต่พระอรหันต์ไม่มีฐาน ไม่มีเลย

ความคิดมันเป็นกิริยาเฉยๆ มันไม่มีที่ตั้ง มันถึงไม่มีกรรม กรรมไม่มีนะ มันเป็นกิริยาการแสดงออกเพราะมันไม่มีผู้รับผิดชอบ ไม่เป็นผู้ทุกข์ ไม่มีเจ้าของ มารหาไม่เจอ มารหาที่ตั้งฐานไม่เจอ แล้วจะไปเอาโทษเอาประโยชน์กับใคร มันจะไปเอาโทษเอาประโยชน์กับใครไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะไม่มีผู้ต้องหา ไม่มีโจทย์ ไม่มีจำเลย ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้นเลย ไม่มีแล้วมันอยู่ได้อย่างไร ?

นี่คือผลของการประพฤติปฏิบัติ วิหารธรรม ธรรมที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจ ธรรมที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้มันเป็นผลมาแล้วเห็นไหม ดูสิ เวลาเป็นผล วิธีการอย่างหนึ่ง เป้าหมายอย่างหนึ่ง ไปถึงเป้าหมายแล้ว วิธีการนั้นกลับมาไม่ได้

เป็นอฐานะ เป็นโสดาบันจะเสื่อมจากโสดาบันไม่ได้ เป็นสกิทาคามีจะเสื่อมจากสกิทาคามีไม่ได้ เป็นอนาคาเสื่อมจากอนาคาไม่ได้ เป็นอรหันต์เสื่อมจากนั้นไม่ได้ ! ถ้ามันเสื่อมได้มันเป็นโกหกทั้งหมดไง

มันเสื่อม.. มันเสื่อมเพราะอะไร เสื่อมเพราะเราทำผิด แล้วคาดหมายว่าเป็น เวลากิเลสมันตีกลับขึ้นมามันก็หมดเลย สิ่งที่มันเสื่อมได้.. เสื่อมได้คือว่าเริ่มต้นมันผิด เริ่มต้นมันไม่ใช่ความจริง พอไม่ใช่ความจริง เราไปคาดหมายกันเองเห็นไหม ธรรมะคาดหมาย นี่เจริญโดยกิเลสมันพาเจริญไง ถ้ากิเลสพาเจริญ เวลามันเสื่อมมันก็ล่มหมดเลย แต่ถ้าธรรม พอมันเสื่อมแล้ว.. ธรรมมีความมุ่งหมาย ธรรมมีความจงใจขึ้นมาเห็นไหม เสื่อมขนาดไหน เสื่อมเจริญก็คือใจเรานี่ สุขก็คือใจของเรา ทุกข์ก็คือใจเรา

ใจเรานี่แล้วเราเกิดมายังมีโอกาสเห็นไหม เรามีโอกาส ยังมีสภาวธรรมอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีครูบาอาจารย์ ยังมีหมู่คณะ ยังมีสัทธิวิหาริกมีผู้คอยชี้นำ เราก็ต้องหมั่นทำของเรา.. หมั่นทำของเราเพื่อไม่ต้องให้ไปเกิดอีกชาติหนึ่ง ไม่ต้องไปเกิดในครรภ์ของมารดา ไม่ต้องไปเกิดในโอปปาติกะ เกิดแล้วก็รอเวลาไปนะ เกิดมาภพหนึ่งชาติหนึ่งก็แล้วแต่อายุขัย แล้วศาสนาก็หมุนไปอย่างนี้ วัฏฏะมันจะหมุนไปอย่างนี้ ผลของวัฏฏะไง

ผลของวัฏฏะคือเกิดมาแล้วมาเจอกัน แล้วต่างคนต่างต้องตายไปหมด นี่ผลของวัฏฏะ แต่ถ้ามันเป็นกิเลสนะ ไม่ใช่ผลของวัฏฏะ มันฟาดฟันกันด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากเลย มันจะเกาะ มันจะข่มขี่กัน เพราะมันจะทำลายกัน เพราะสิ่งนั้นมันเป็นเรื่องของความรู้สึก ทั้งๆ ที่ว่าเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเรานะ ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำให้เราถูกใจหรือไม่ถูกใจนะ แต่กิเลสของเรามันไม่พอใจเอง มันไปให้ค่าเองว่าสิ่งนี้ว่าเรา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดี สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วมันก็ไปให้ค่าเขา เห็นไหม

กิเลสมันเป็นอย่างนั้น กิเลสมันข่มขี่ใจมาตลอดนะ แล้วมันก็พาเกิดพาตายอย่างนี้แล้วมันก็อยู่กับเรา ไม่ต้องไปพูดว่าคำกิเลสแล้วไปโทษคนอื่นนะ โทษความรู้สึกเรานี่ เราแบกรับกันอยู่อย่างนี้ แล้วมันแบกรับนี่มันไม่ใช่ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ที่สุดวิสัยที่เราจะทำไง มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

ดูสิ สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เป็นวัตถุเขาทำสิ้นค้าใหม่ๆ ออกมาขายเราตลอดเวลา เราคิดไม่ถึงเลยนะว่าใครจะทำได้วิจิตรพิสดารขนาดนี้ เขายังทำออกมาตลอดไป แล้วยังจะดีกว่านี้ไปเรื่อยๆ นะ มันเป็นไปได้ไหมล่ะ มันทำไมเป็นไปไม่ได้เหรอ เราคิดไม่ถึงเอง เราไม่รู้ว่าเขาจะเอาอะไรมาขายเราอีกแล้ว สิ่งที่เราใช้กันอยู่เดี๋ยวเขาก็จะทิ้งกันหมดแล้ว มันล้าสมัย มันจะมีของใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา เห็นไหม มันยังเป็นไปได้เลย

แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติ ทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปได้เพียงแต่ว่าอย่าให้กิเลสมันครอบงำ อย่าให้สิ่งนี้มันครอบงำว่า นี่มันเป็นไปไม่ได้.. เราสู้ไม่ไหว..

อันนั้นเป็นอำนาจวาสนาของท่าน มันเป็นสมบัตินะ สมบัติของท่าน เพราะใจของท่านประพฤติปฏิบัติมา มันถึงองอาจไง การแสดงธรรมออกมาจากใจ ไม่หวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้นเลย แต่ถ้ามันไม่ได้ออกมาจากใจนะ พูด ! นี่เวลาแสดงธรรมนะ ถ้าเขาเชื่อฟัง โอ้โฮ ! ตื่นเต้นดีใจนะ แต่ถ้าเขาคัดค้านขึ้นมานี่ถอยกรูดๆ เลยนะ ไม่กล้าโต้แย้ง แต่ถ้ามันเป็นความจริง โต้มา..โต้แย้งมา สิ่งใดๆ โต้แย้งมา มันจะผิดจากนี้ไปได้อย่างไร

พระอาทิตย์ขึ้นมันไม่ตกเป็นไปได้ไหม ถ้าพระอาทิตย์ขึ้นมันตกเด็ดขาด แล้วสิ่งที่มันขึ้นมาแล้วมันจะตกอย่างไร ถ้ามันเป็นความจริงอย่างนี้ แล้วสิ่งที่เป็นความจริง เพราะมันเป็นความจริงมาแล้ว สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันกับเราไง ใจเหมือนกัน ใจของคนขี้ทุกข์ขี้ยาก เขายังพ้นไปได้

ดูสิ พระอรหันต์สมัยพุทธกาลเห็นไหม เป็นง่อยเปลี้ยเสียขาก็มี ดูสิ เวลาพระจักขุบาลเป็นพระอรหันต์นะ ตาบอด ตาบอดขณะต่อสู้กันเลย ตั้งสัจจะ พรุ่งนี้จะเป็นวันเข้าพรรษา ตั้งสัจจะเลยว่าจะไม่นอนสามเดือน นี่ตั้งสัจจะนะ แล้วพอเวลาถึงที่สุดแล้วหมอเตือนเลยนะ ถ้าไม่นอนนะตาบอดแน่นอน นี่มีความเข้มแข็งเพราะอะไร พระอรหันต์ต้องสร้างบุญญาธิการมานะ เพราะมันเป็นเรื่องของจิตที่มันจะรับภาวะอย่างนี้ เห็นไหม รับภาวะนะ

ดูสิ เชาว์ปัญญานะ ความคิดของเรา มันมาจากไหน มันมาจากจิตของเรา จากความเห็นของเรา แล้วความเห็นของเรามันมาจากไหน มันก็กลับย้อนมาที่จิตแล้วออกมากาย นี่จิต-อาการของจิต สิ่งที่ว่าใจ-อาการของใจ สิ่งนี้มันอยู่ด้วยกัน ถ้ามันสร้างคุณงามความดีมา มันก็ส่งเสริมกันเห็นไหม

แต่ถ้าเวลามันคิดเป็นอกุศล มันก็กดถ่วงกัน กดถ่วงนะ เราเองคนเดียวนี่เราคิดว่าเป็นสองคนนะเห็นไหม นี่ออกไป ถ้าสองคนขึ้นไปนี่จะมีปัญหาล่ะ เพราะความเห็นมันต่างกัน แต่ขณะไม่คิดเลยว่า คนๆ เดียวมันก็มีปัญหาขึ้นมาในหัวใจเหมือนกัน จิต-อาการของจิต

แล้วเวลาคิดขึ้นมานี่ความเห็นของเรา “อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด” นี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด” เราถึงจะต้องเข้าป่าเข้าเขา เราถึงต้องหาที่สงัดวิเวก หาชัยภูมิที่ดีแล้วดูมัน วางศีล กรอบมันให้เป็นศีลขึ้นมาแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดวางกรอบขึ้นมา แล้วไล่ต้อนเข้ามา

ปลาในสุ่มนะ เราเอาสุ่มคล้องไป เห็นปลาแล้วเราสุ่มปลา แล้วปลาในสุ่มเราจะจับปลาในสุ่มได้ไหม ถ้าปลาในแม่น้ำ ปลาในทะเล เราไม่มีเครื่องมือไปจับมันเลย

ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมสาธารณะ ในทะเลมีปลาทั้งนั้นเลย มีปลาทุกชนิด ยิ่งน้ำลึกปลายิ่งตัวใหญ่ เห็นไหม นี่จริงไหมก็จริง แล้วเรามีเครื่องมืออะไรไปทำ แล้วเรามีสุ่ม เราเอาสุ่มครอบปลาไปเลย ร่างกายนี้คือสุ่ม ปลาคือหัวใจเรานี่ แล้วทำไมมันจับไม่ได้ ปลาในสุ่มทำไมรื้อค้นไม่ได้ ถ้าปลาในสุ่มเรารื้อค้นได้เห็นไหม ของนี้มีอยู่กับเรา มันมีอยู่กับเรา มือเวลาควานเข้าไปในสุ่มมันก็พลิกไปพลิกมาอยู่ในนี้

นี่ใจก็เหมือนกัน ทั้งๆ ที่กำหนดพุทโธก็มาจากมันนะ มาจากใจนี่ ถ้าเราไม่มีสติ สติมาจากไหน สติไม่ใช่จิต สติเกิดจากจิต จิตก็คือใจ นี่สติเกิดจากใจ แล้วใจมันอยู่ที่ไหนทั้งๆ ที่สติคือ เครื่องมือของใจนะ มันก็ย้อนกลับสิ

นี่ใจ-อาการของใจ ถ้าอาการของใจ มันย้อนกลับเข้ามาได้ ในสุ่มของมันอยู่ในสุ่มทั้งนั้น ขลุกขลิกๆ อยู่ในตัวเรานี่ ! หากันไม่เจอ ! ทำกันไม่ได้ ถ้าหาเจอทำได้เห็นไหม มันก็เป็นฐานของเรา เป็นประโยชน์ของเรา

นี่มันถึงว่านักกีฬา.. เขาจะแข่งขันกันเขายังต้องมีการฝึกซ้อมเลย นี้ก็เหมือนกันเราต้องมีสติสัมปชัญญะของเรา เราต้องต่อสู้ ต่อสู้เข้มแข็ง ถ้าเข้มแข็งนะเวลางานเห็นไหม

เวลาอาบเหงื่อต่างน้ำก็ว่าทุกข์ นั่งสมาธิธรรมดานี่เราเป็นชาวพุทธนะ เพราะเขาเชื่อในคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุ.. “ภิกษุเป็นผู้เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร” เป็นนักรบ ชาวบ้านเขาส่งเสริมตลอดเวลา เขาต้องการบุญกุศลจากเรา เห็นไหม

เราดำรงชีวิตด้วยปลีแข้ง สิ่งนี้ปลีแข้งแล้วเราบิณฑบาตมาแล้วฉันของเรา เราเดินจงกรมสิ นั่งสมาธิภาวนาสิ สิ่งนี้เราก็หาของเรา ถ้าหาของเราด้วยความจงใจด้วยความจริงจัง ความจงใจความจริงจังทำของเราไปเรื่อยๆ

ถ้ามีตัณหาความทะยานอยากมันซ้อน ตัณหาความทะยานอยากของใจมันมีอยู่แล้ว มันก็กว้านเอาทุกข์มาให้เรา แล้วเราประพฤติปฏิบัติด้วยตัณหาความทะยานอยาก มันก็ซ้อนเข้าไป ถ้ามันโง่ก็เป็นอย่างนั้นน่ะ ถ้ามันทำไป เดินจงกรมไป นั่งสมาธิไป จนจิตมันสงบได้ เอ๊ะ ! มันมาได้อย่างไรแล้วครั้งหน้าทำอีก มันก็ติดอีกเห็นไหม

ติดอีก เราก็รู้ว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์ เพราะเรามีความตัณหาซ้อนตัณหามันถึงต้องทุกข์สองชั้น สามชั้น แต่เราทำไปโดยสัจจะความจริง ทำไปโดยตามแต่เหตุ ผลจะเกิดอย่างไร มันเป็นเรื่องของผลนั้นมันจะไม่ทุกข์สองชั้นสามชั้นไง

ความทุกข์อันนี้มันจะเป็นบทเรียนกับใจ ถ้าบทเรียนกับใจ มันก็จะปฏิบัติแบบเพียวๆ ไง ปฏิบัติตั้งใจโดยเหตุ ให้เหตุมันเป็นไปตามเหตุนั้น แล้วผลมันเกิดตามเหตุนั้นเราก็โอเคไง สิ่งนั้นมันก็เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้นเห็นไหม นี่มันมีประสบการณ์อย่างนี้

ถ้าคนปฏิบัติด้วยตัณหาความทะยานอยาก มันจะทุกข์เข้าไปอีก ถ้าคนปฏิบัติด้วยศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาความจริงของเรา แล้วมันประสบผลของมัน มันจะเป็นประโยชน์กับเราเอง ใจดวงนี้ถึงว่าถ้ามันจะเสื่อม มันจะเจริญขนาดไหน เรามีสติของเราถ้าเจริญแล้วเสื่อม มันก็ทุกข์ ถ้าเสื่อมแล้วเจริญ เราจะเป็นประโยชน์กับเรา ต้องให้เสื่อมแล้วเจริญ เอวัง